วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

จุลินทรีย์นาโน

    จุลินทรีย์นาโน

  จากการวิจัยของ ดร. จรูญเกียรติ ภัทรมนตรีสิน ซึงปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ค้นพบว่า จุลินทรีย์ มีการขยายพันธุ์แบบ ทวีคูณ และจะแบ่งตัวจาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 และจาก 4 เป็น 16 ................. เรื่อยๆ ไป หากจุลินทรีย์เริ่มต้นที่ 100 ตัว จะขยายพันธุ์แบบทวีคูณ 100 X 100 เป็น 10,000 ตัว และ เพิ่มเป็น 100,000,000 ตัว โดยใช้เวลาเพียง 4-6 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งนำมา เพาะเชื้อ ในถังเพาะเชื้อที่ถูกต้องพร้อมทั้งได้รับอาหารที่ดี
  ดังนั้น ดร. จรูญเกียรติ ได้นำ จุลินทรีย์ จาก ดิน ที่มีความสมบูรณ์ในพื้นที่ ป่าร้อนชื้นในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น มาคัดเลือกเฉพาะ จุลินทรีย์ สายพันธุ์ที่ดีๆ และ แข็งแรง และ มีประโยชน์ต่อ พืช ซึ่งในปัจจุบันมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยนำมา เพาะพันธุ์ และ สร้างความสมบรูณ์ ให้ตัวเชื้อ จุลินทรีย์ และ นำอาหาร คือ โมลาส มาวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่ม    ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์นาโน
   หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ค้นพบและได้รับการพัฒนานี้มี ขนาดเล็ก ไม่ใช่ ระดับ มิลลิเมตร ( 1 ใน 1,000 ) และไม่ใช่ ระดับ ไมโครเมตร ( 1 ใน 1,000,000 )หรือ(ปุ๋ยชีวภาพ EM ทั่วไป) หากแต่เป็น หัวเชื้อจุลินทรีย์ ที่มีขนาดเล็กมากๆใน ระดับ นาโนเมตร (1 ใน ล้านล้าน) ที่ได้มาจากการใช้ เทคโนโลยีขั้นสูงระดับนาโน
  จุลินทรีย์นาโน
1 ) มีขนาดเทียบเท่ากับความกว้าง 1 ใน 50,000 ส่วนของเส้นผมของคนเรา
2 ) เป็นจุลินทรีย์ที่ได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับการเกษตรในเขตร้อนชื้น
3 ) เป็นจุลินทรีย์ที่มีความเข้มข้นของเชื้อสูง ถึง 1 ล้านล้านเซลล์ ต่อ กรัม หรือ มิลลิลิตร

   คุณสมบัติพิเศษของหัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้น
1 ) เป็นสารอาหารครบถ้วนที่พืชต้องการ จากจุลินทรีย์ที่ตายแล้วกลายเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่า ของพืช เพราะว่าตัว จุลินทรีย์ มีอายุประมาณ 2 – 3 วันนับจากวันที่ผสมพันธุ์เมื่อตายไป
ซากของตัวจุลินทรีย์ จะเป็นทั้ง
แหล่งอาหารหลัก พวกแร่ธาตุต่างๆ ( N-P-K ) ที่พืชต้องการ

จุลินทรีย์ใหม่"สร้างปุ๋ยในดิน

      จุลินทรีย์ใหม่"สร้างปุ๋ยในดิน

      ปัจจุบันเกษตรอินทรีย์กลายเป็นกระแส และเป็นทางเลือกของการเกษตรทั่วโลก รวมทั้งไทยที่กำลังขับเคลื่อนเป็นวาระแห่งชาติ และแม้เราจะขับเคลื่อนมานาน แต่ก็ยังไม่ได้รับกระแสขานรับที่ดี ปัจจัยหลักอยู่ที่ราคาสารเคมีเกษตรพุ่งขึ้นจนเกินขีดความสามารถของเกษตรกร ทำให้หลายรายหันไปหาเกษตรอินทรีย์ที่ต้นทุนต่ำกว่า ไม่มีพิษภัยต่อตัวเองและผู้บริโภค หน่วยงานหลักในการฟื้นฟูดินก็คือกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งพบว่าสภาพดินที่ใช้สารเคมีได้รับผลกระทบมาก เพราะมีส่วนสำคัญในการทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน "งานใหญ่ของกรมคือเฟ้นหาจุลินทรีย์ในดินที่มีความสามารถย่อยสลายซากพืช เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน รวมถึงฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ซึ่งกรมได้เริ่มโครงการและประสบความสำเร็จ ปี 2529 พบจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายซากพืชได้ดี และแปรจุลินทรีย์ในรูปสารเร่งพด.1 ซึ่งเป็นฐานสำคัญในเวลาต่อมาในการเฟ้นหาจุลินทรีย์ที่หลากหลาย"  ไม่เพียงแต่กลุ่มเกษตรกรนำผลิตภัณฑ์สารเร่ง พด.ประเภทต่างๆ มาใช้ประโยชน์เท่านั้น แต่ยังต่อยอดขยายสู่ชุมชนที่ประสบปัญหาน้ำเน่าเสีย ขยะในครัวเรือน ขณะที่ภาคเอกชนไม่น้อย เริ่มหันมาสนใจงานวิจัยจุลินทรีย์เพื่อนำไปปรับใช้ในธุรกิจของตน กรมยังมีเป้าหมายใช้จุลินทรีย์สร้างโรงปุ๋ยหรือธาตุอาหารในดินโดยตรง โดยกำลังวิจัยพัฒนาจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่ ที่มีความสามารถในการตรึงไนโตรเจนได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยปมรากถั่วอีกต่อไป เท่ากับเป็นการสร้างโรงปุ๋ยขึ้นในดินนั่นเอง ทั้งนี้ ปัจจุบันการเพิ่มธาตุอาหารในดินกระทำโดยใช้จุลินทรีย์ไปย่อยสลายซากพืช หรือไม่ก็ปลูกพืชตระกูลถั่วที่ตรึงไนโตรเจนได้ แล้วไถกลบ
     กระบวนการวิจัยพัฒนาจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่เริ่มบ้างแล้ว โดยคัดเลือกจุลินทรีย์ที่มีความสามารถดึงไนโตรเจนได้เอง จากนั้นใช้กระบวนการฟิวชั่น (Fusion) หรือใช้เซลล์ของจุลินทรีย์ผนวกด้วยกัน เพื่อสร้างจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่ และคัดเลือกจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติตามต้องการ เช่นเดียวกับฟอสฟอรัส และโปแตสเซียมที่มีอยู่ในดินแล้ว แต่ไม่สามารถปลดปล่อยให้พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้ ก็ต้องพัฒนาจุลินทรีย์เพื่อมาใช้ในการนี้ด้วย ถ้าธาตุอาหารหลักในดินที่จุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่สร้างได้ครบ ทั้งไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโปแตสเซียม (K) ก็เท่ากับเรามีโรงงานสร้างปุ๋ยในดินโดยตรง ซึ่งนับเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรไทยอย่างมาก

ประโยชน์จากการไถกลบตอซัง

(1) ปรับปรุงโครงสร้างของดินให้มีความเหมาะสม
   ทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุย ง่ายต่อการเตรียมดิน การปักดำกล้าและทำให้ระบบรากพืชสามารถแพร่กระจายในดินได้มากขึ้น
   การระบายอากาศของดินเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีปริมาณออกซิเจนเพียงพอต่อการหายใจของระบบรากพืชในดิน
    เพิ่มการซึมผ่านของน้ำได้อย่างเหมาะสม และการอุ้มน้ำของดินให้ดีขึ้น
(2) เป็นแหล่งสะสมธาตุอาหารพืชในดิน
  เป็นการเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดินโดยตรง อาจจะมีปริมาณธาตุอาหารน้อย แต่จะมีธาตุอาหารครบถ้วนตามที่พืชต้องการทั้งธาตุอาหารหลัก
(ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม) ธาตุอาหารรอง (แคลเซียม แมกนีเซียมและกำมะถัน) และจุลธาตุ (เหล็ก แมงกานีส ทองแดง สังกะสี โบรอน โมลิบดินัม
และคลอรีน) และจะค่อยๆ ปลดปล่อยให้เป็นประโยชน์ต่อพืชในระยะยาว
  ช่วยดูดซับธาตุอาหารในดินไม่ให้สูญเสียไปจากดินซึ่งพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

ข้อมูลจาก กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  www.ldd.go.th

งดเผาตอซัง สร้างดินอย่างยั่งยืน ฟื้นสิ่งแวดล้อม

 งดเผาตอซัง สร้างดินอย่างยั่งยืน ฟื้นสิ่งแวดล้อม

       การเผาซังข้าวจะทำลายจุลินทรีย์ในดิน ทำให้ผลผลิตต่อไร่ตก ถ้าเราเปิดน้ำเข้าไปขังให้ตอซังข้าวยุ่ยเน่าก็เกิดจุลินทรีย์ในดิน ทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น
    ในรัฐบาลชุดก่อนได้ประกาศขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อลดการการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีเป็นจำนวนมากอันเป็นภาระขอเกษตรกรในเรื่องต้นทุนการผลิตและความเสี่ยงต่อพิษภัยของสารเคมีให้ปรับเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์และสารชีวภาพ ทดแทนปุ๋ยเคมีและสารเคมีมากขึ้น กิจกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญ และรัฐได้ให้การส่งเสริมอันเป็นการสนับสนุนการดำเนินการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติได้แก่“รณรงค์ งดเผาตอซัง สร้างดินยั่งยืน ฟื้นสิ่งแวดล้อม” โดยส่งเสริมให้เกษตรกรงดการเผาและหันมาไถกลบตอซังร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำเพื่อช่วยให้มีการย่อยสลายได้ง่ายขึ้นกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ในดิน
      ประเทศไทยมีพื้นที่ทำการเกษตร 131 ล้านไร่
 ดังนั้น จึงมีเศษเหลือของวัสดุจากตอซังข้าว ข้าวโพด และอื่นๆ กว่า 35 ล้านตันต่อปีหรือคิดเป็นเศษวัสดุการเกษตรเหลือทิ้งในไร่นาเฉลี่ยไร่ละเกือบ 300 กิโลกรัมเศษเหลือของวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้มีส่วนประกอบของธาตุอาหารพืชทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองมากกว่า 500 ล้านกิโลกรัมมีการเผาทิ้งหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อที่จะช่วยให้การไถพรวนทำได้ง่ายขึ้น การกระทำดังกล่าวทำให้ดินสูญเสียอินทรียวัตถุ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการปรับปรุงบำรุงดินเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืน ทำให้
ดินเสื่อมโทรมลง ต้องพึ่งพาการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีมากขึ้นทุกวันๆ มีผู้ประเมินว่าเฉพาะการเผาทิ้งเศษเหลือจากตอซังและฟางข้าวเพียงอย่างเดียว ทำให้ดินต้องสูญเสียธาตุอาหารหลักที่เป็นไนโตร-
เจนถึง 90 ล้านกิโลกรัม ฟอสฟอรัส 20ล้านกิโลกรัม และโพแทสเซียม 260ล้านกิโลกรัม ยังไม่นับการสูญเสียธาตุอาหารรอง เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และซัลเฟอร์ อีกกว่า 150 ล้านกิโลกรัมต่อปี
คิดเป็นมูลค่ากว่าห้าพันล้านบาท ซึ่งเกษตรกรต้องจ่ายเงินซื้อปุ๋ยเคมีเพื่อใส่ในไร่นาทดแทนการสูญเสียที่หายไปจากการเผาตอซัง เพื่อที่จะทำให้ได้ผลผลิตคงเดิม
   กรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักของประเทศในการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเกษตรอินทรีย์ และได้รณรงค์ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนทัศนคติ ไม่เผาตอซัง โดยให้นำวัสดุตอซังที่เหลือใช้จากไร่นามาเป็นวัสดุปรับปรุงบำรุงดิน ผสมผสานการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพ 12 มหัศจรรย์ กรมพัฒนาที่ดิน ช่วยเพิ่มคุณภาพดิน เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนการผลิตรักษาสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเกษตรอินทรีย์สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล
   ข้อมูลจาก:กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   //  www.ldd.go.th

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรและสิ่งแวดล้อม

จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรและสิ่งแวดล้อม 
       สายพันธุ์จุลินทรีย์ที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว  มีประสิทธิภาพสูงในการเป็นอาหารให้แก่พืชและเป็นห่วงโซ่อาหารแก่ดิน เพิ่มปริมาณและสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อดินทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ เสริมสร้างธาตุอาหารและกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นไม้ สามารถเห็นผลได้ภายใน เวลาไม่กี่วัน โดยขนาดตัวเซลล์จุลินทรีย์ที่เล็กกว่าเม็ดเลือดแดง  ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าระบบท่อน้ำ  ท่ออาหารของพืชได้มากกว่า 5,000 หน่วย  อย่างง่ายดาย  และสามารถขยายพันธุ์ในดินจาก 100 ตัวเป็น 1 ล้าน  – 100 ล้านตัวได้รวดเร็ว  ทำให้สามารถเพิ่มสารอาหารและแร่ธาตุแก่พืชได้อย่างครบถ้วนตามทฤษฎีจุลินทรีย์  เป็นอาหารแก่พืช ต้นไม้อย่างสมบูรณ์แบบ


  ตัวอย่างฃองการเกิดจุลินทรีย์ที่เห็นได้ชัดคือในป่าธรรมชาติ จะเห็นว่าต้นไม้ในป่าเจริญเติบโตและอายุยืนกว่าต้นไม้พืชผักผลผลิตทางเกษตรที่ใช้ปุ๋ยเคมีในปัจจุบัน  นอกจากนี้จุลินทรีย์ยังมีสายพันธุ์ที่สามารถปกป้องโรค   ป้องกันการระบาดของแมลง ตัดวงจรชีวิตของโรคโคนเน่า  เพลี้ยแป้ง  เพลี้ยกระโดด และหอยเชอรี่ ได้อย่างมีประสิทธิผล

 

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รีไซเคิลขยะเพื่ออะไร?และเพื่อใคร?

รีไซเคิลขยะเพื่ออะไร?และเพื่อใคร?
    หลายๆคนคงตอบคำถามนี้ได้อย่างไม่ยาก ว่าผลที่ได้ของการใช้ประโยชน์จากขยะนั้นมีมากมายมหาศาลและสามารถช่วยลดปัญหาต่างๆเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถลดค่าใช้จ่ายและงบประมาณจำนวนมากของรัฐที่ต้องใช้กับปัญหาขยะซึ่งมันก็คือภาษีของเรานั่นเอง
    บางท่านอาจจะไม่รู้สึกเท่าไหร่นักกับค่าขยะที่ทางเทศบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียกเก็บ ซึ่่งบางแห่งก็เป็นเงินเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับรายได้ส่วนบุคคล ถือว่าไม่มากมายอะไร แต่หากว่าทุกๆคนร่วมมือร่วมใจกัน คัดแยกขยะตั้งแต่ที่บ้านท่านเอง งบประมาณในเรื่องการจัดเก็บขยะจะใช้เป็นจำนวนน้อยมาก
    หลายๆที่หลายๆแห่งได้มีการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมบ้าง,เรื่องภาวะโลกร้อนบ้าง นักวิชาการหลายๆแขนงมีการพูดถึงมากมาย รวมถึงผู้คนหลายๆคนก็มีความรู้มากมายเกี่ยวกับการขจัดปัญหาเหล่านี้ แต่ส่วนมากจะเป็นในรูปของนามธรรมมากกว่าที่จะเป็นรูปธรรม ขาดการต่อเนื่องในภาคปฏิบัติ อาจจะเป็นเพราะขาดสำนึกที่แท้จริงว่า เราจำเป็นต้องทำ
    ชุมชนเมืองซึ่งนับวันจะขยายตัวอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดจนตามไม่ทัน ความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่เพิ่มขึ้นเร็วมาก ปัญหามลภาวะก็เกิดตามขึ้นมาอย่างมากเช่นเดียวกัน ปัญหาการจัดการกับขยะจำนวนมหาศาลของชุมชนเมืองเป็นปัญหาใหญ่มาทุกยุคทุกสมัย ในภาวะปกติก็เป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นภาวะวิกฤติอย่างที่เราประสบมาหมาดๆ เราก็คงจะทราบกันว่า ปัญหาได้เพิ่มจากปกติไม่รู้กี่เท่า
  ขยะชุมชน ถ้าคัดแยกอย่างถูกหลักแล้ว แทบจะไม่มีชิ้นไหนที่ไม่มีประโยชน์เลย ไม่ว่าจะเป็น เศษกระดาษ ขวด กระป๋อง พลาสติค หรือเศษอาหาร สามารถนำไปประโยชน์ได้ทั้งหมด นอกจากขยะพิษเท่านั้นที่จำเป็นต้องเก็บแยกเพื่อให้ผู้มีส่วนรับผิดชอบจัดการต่อไป
ขยะที่มากับน้ำท่วม

   ที่ชุมชนพบสุข มีการจัดการเรื่องขยะชุมชนที่่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงจนได้ผลที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง วิธีการกำจัดขยะของชุมชนพบสุข เป็นเรื่องที่ชุมชนไหนก็สามารถทำได้หากปฏิบัติกันอย่างจริงจัง แล้วประโยชน์ก็จะกลับมาสู่ชุมชนของท่านอย่างแท้จริง

 

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

น้ำท่วมขยะลอยเกลื่อน

น้ำท่วมขยะลอยเกลื่อน


  จากเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายๆท้องที่ในประเทศไทย นอกจากความเดือดร้อนในหลายๆด้านที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติที่เราเห็นจนยากที่จะทำใจได้ ก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาด้วยฝีมือมนุษย์เองคือ  ขยะจำนวนมหาศาลที่ลอยมาตามน้ำ ซึงมีอยู่ให้เห็นในทุกพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย กลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาจนเกิดผลกระทบในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเกิดการเน่าเสียของน้ำ สุขอนามัย และอีกหลายๆอย่าง
   ปัญหาเหล่านี้มิใช่จะเพิ่งเกิดขึ้นตอนเหตุการณ์น้ำท่วม มันเกิดสะสมมานานแล้ว ด้วยฝีมือมนุษย์เราเองที่มิได้ใส่ใจกับปัญหานี้
   การแก้ไขปัญหาขยะล้นเมืองเหล่านี้ดูเหมือนจะแก้ยากมาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง ซึ่งจริงๆแล้วหากจะแก้ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ด้วยวิธีการสร้างนิสัยและการปลูกจิตสำนึกที่ดีที่ตัวเราก่อน เกี่ยวกับเรื่องผลกระทบของการก่อขยะ,วิธีการทิ้งขยะ,วิธีแยกขยะ,วิธีรีไซเคิลขยะและวิธีใช้ประโยชน์จากขยะ  อย่างที่หลายคนอาจจะเคยเห็นในหลายๆท้องที่ หลายชุมชน หรือบางท่านก็กำลังปฏิบัติอยู่ ถ้าหากร่วมมือกันปฎิบัติกันทุกที่ทุกชุมชน รวมถึงการได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังทั้งทางภาครัฐและเอกชน ก็จะสามารถรับประกันได้เลยว่าปัญหาเหล่านี้จะหมดไปในเวลาไม่นาน รวมถึงจะทำให้งบประมาณของรัฐกับปัญหานี้ลดลงได้อย่างมหาศาลทีเดียว ซึ่งเงินเหล่านี้ก็ไม่ใช่เงินใครที่ไหน เป็นเงินภาษีของเรานั่นเอง