วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รีไซเคิลขยะเพื่ออะไร?และเพื่อใคร?

รีไซเคิลขยะเพื่ออะไร?และเพื่อใคร?
    หลายๆคนคงตอบคำถามนี้ได้อย่างไม่ยาก ว่าผลที่ได้ของการใช้ประโยชน์จากขยะนั้นมีมากมายมหาศาลและสามารถช่วยลดปัญหาต่างๆเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถลดค่าใช้จ่ายและงบประมาณจำนวนมากของรัฐที่ต้องใช้กับปัญหาขยะซึ่งมันก็คือภาษีของเรานั่นเอง
    บางท่านอาจจะไม่รู้สึกเท่าไหร่นักกับค่าขยะที่ทางเทศบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียกเก็บ ซึ่่งบางแห่งก็เป็นเงินเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับรายได้ส่วนบุคคล ถือว่าไม่มากมายอะไร แต่หากว่าทุกๆคนร่วมมือร่วมใจกัน คัดแยกขยะตั้งแต่ที่บ้านท่านเอง งบประมาณในเรื่องการจัดเก็บขยะจะใช้เป็นจำนวนน้อยมาก
    หลายๆที่หลายๆแห่งได้มีการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมบ้าง,เรื่องภาวะโลกร้อนบ้าง นักวิชาการหลายๆแขนงมีการพูดถึงมากมาย รวมถึงผู้คนหลายๆคนก็มีความรู้มากมายเกี่ยวกับการขจัดปัญหาเหล่านี้ แต่ส่วนมากจะเป็นในรูปของนามธรรมมากกว่าที่จะเป็นรูปธรรม ขาดการต่อเนื่องในภาคปฏิบัติ อาจจะเป็นเพราะขาดสำนึกที่แท้จริงว่า เราจำเป็นต้องทำ
    ชุมชนเมืองซึ่งนับวันจะขยายตัวอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดจนตามไม่ทัน ความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่เพิ่มขึ้นเร็วมาก ปัญหามลภาวะก็เกิดตามขึ้นมาอย่างมากเช่นเดียวกัน ปัญหาการจัดการกับขยะจำนวนมหาศาลของชุมชนเมืองเป็นปัญหาใหญ่มาทุกยุคทุกสมัย ในภาวะปกติก็เป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นภาวะวิกฤติอย่างที่เราประสบมาหมาดๆ เราก็คงจะทราบกันว่า ปัญหาได้เพิ่มจากปกติไม่รู้กี่เท่า
  ขยะชุมชน ถ้าคัดแยกอย่างถูกหลักแล้ว แทบจะไม่มีชิ้นไหนที่ไม่มีประโยชน์เลย ไม่ว่าจะเป็น เศษกระดาษ ขวด กระป๋อง พลาสติค หรือเศษอาหาร สามารถนำไปประโยชน์ได้ทั้งหมด นอกจากขยะพิษเท่านั้นที่จำเป็นต้องเก็บแยกเพื่อให้ผู้มีส่วนรับผิดชอบจัดการต่อไป
ขยะที่มากับน้ำท่วม

   ที่ชุมชนพบสุข มีการจัดการเรื่องขยะชุมชนที่่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงจนได้ผลที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง วิธีการกำจัดขยะของชุมชนพบสุข เป็นเรื่องที่ชุมชนไหนก็สามารถทำได้หากปฏิบัติกันอย่างจริงจัง แล้วประโยชน์ก็จะกลับมาสู่ชุมชนของท่านอย่างแท้จริง

 

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

น้ำท่วมขยะลอยเกลื่อน

น้ำท่วมขยะลอยเกลื่อน


  จากเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายๆท้องที่ในประเทศไทย นอกจากความเดือดร้อนในหลายๆด้านที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติที่เราเห็นจนยากที่จะทำใจได้ ก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาด้วยฝีมือมนุษย์เองคือ  ขยะจำนวนมหาศาลที่ลอยมาตามน้ำ ซึงมีอยู่ให้เห็นในทุกพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย กลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาจนเกิดผลกระทบในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเกิดการเน่าเสียของน้ำ สุขอนามัย และอีกหลายๆอย่าง
   ปัญหาเหล่านี้มิใช่จะเพิ่งเกิดขึ้นตอนเหตุการณ์น้ำท่วม มันเกิดสะสมมานานแล้ว ด้วยฝีมือมนุษย์เราเองที่มิได้ใส่ใจกับปัญหานี้
   การแก้ไขปัญหาขยะล้นเมืองเหล่านี้ดูเหมือนจะแก้ยากมาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง ซึ่งจริงๆแล้วหากจะแก้ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ด้วยวิธีการสร้างนิสัยและการปลูกจิตสำนึกที่ดีที่ตัวเราก่อน เกี่ยวกับเรื่องผลกระทบของการก่อขยะ,วิธีการทิ้งขยะ,วิธีแยกขยะ,วิธีรีไซเคิลขยะและวิธีใช้ประโยชน์จากขยะ  อย่างที่หลายคนอาจจะเคยเห็นในหลายๆท้องที่ หลายชุมชน หรือบางท่านก็กำลังปฏิบัติอยู่ ถ้าหากร่วมมือกันปฎิบัติกันทุกที่ทุกชุมชน รวมถึงการได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังทั้งทางภาครัฐและเอกชน ก็จะสามารถรับประกันได้เลยว่าปัญหาเหล่านี้จะหมดไปในเวลาไม่นาน รวมถึงจะทำให้งบประมาณของรัฐกับปัญหานี้ลดลงได้อย่างมหาศาลทีเดียว ซึ่งเงินเหล่านี้ก็ไม่ใช่เงินใครที่ไหน เป็นเงินภาษีของเรานั่นเอง

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำน้ำยาล้างจานจากอีเอ็ม


ทำน้ำยาล้างจานจากอีเอ็ม

ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจาน,น้ำยาถูพื้น


การหมักสับปะรดในขั้นตอนแรกเพื่อเป็นส่วนผสม
1. สับปะรดหั่นเป็นชิ้นเล็ก     3 ก.ก.
2. น้ำตาลทรายแดง         1 ก.ก.
3. EM            100  ซีซี
4. น้ำสะอาด        5 ลิตร
* หมักไว้ 15 วัน

ส่วนผสม
1. หัวเชื้อน้ำยาล้างจาน N.70    1 ก.ก.
2. ผงข้น            1 ก.ก.
3. ผงฟอง            2 ขีด
4. น้ำหมักสับปะรด        7 โล
5. น้ำสะอาด        5 โล
6. กลิ่น (มะกรูด, มะนาว)    30 ซีซี

วิธีทำ
1. ผสมหัวเชื้อน้ำยาล้างจานกับผงข้น (ผงข้นใส่ไปครึ่งกิโลกรัม) และคนให้เข้ากัน(ใช้ไม้พายคนไปทางเดียวกัน) ส่วนที่เหลือเก็บไว้ผสมขั้นตอนต่อไป
2. ตักน้ำสับปะรดกับน้ำสะอาดที่ผสมผงฟองสลับกับไปเรื่อยๆ
3. คนไปเรื่อยๆ ส่วนผสมจะเริ่มข้นขึ้นสักพักก็จะเหลว นำผงข้นที่เหลืออยู่มาเทลงทีละน้อยจนเกิดความข้นได้ที่
4. นำกลิ่น (มะกรูด หรือ มะนาว) ใส่ลงไปและคนจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน
5. ทิ้งไว้ 1 คืน หลังจากนั้นบรรจุลงขวด
ข้อมูลจาก EMRO,http://pobsook.com/

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

EM ball(ดังโหงะ)

EM ball(ดังโหงะ)
 ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ 100% ประกอบด้วย หัวเชื้อจุลินทรีย์ EM มีประโยชน์ที่มีมากกว่า 10 สกุล 80 ชนิด

EM Ball 


EM Ball ขนาดของจริง




วิธีปั้น EM Ball 




  คุณสมบัติ 

  • ปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในดินและน้ำ ใช้ได้กับบ่อบำบัดน้ำเสียทุกประเภท
  •  สามารถปรับสภาพ pH เพิ่ม ออกซิเจนในน้ำ สามารถใช้ได้กับบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ(บ่อปลา บ่อกุ้ง) 

โดยช่วยให้สัตว์น้ำโตเร็ว สุขภาพแข็งแรง น้ำหนักดี

  •  สามารถย่อยสลายสิ่งปฏิกูลในบ่อเกรอะได้ดี ประหยัดต้นทุนการบำบัด และสามารถเห็นผลได้เร็ว การันตีเห็นผลความแตกต่างของน้ำ-จุลินทรีย์ EM เข้มข้น 
  • ใช้เป็นหัวเชื้อในการหมัก EM ใช้ขจัดกลิ่นเหม็นของน้ำเสียทั้งในครัวเรื่อนและระดับอุตสาหกรมมได้ เห็นผลภายใน 2-3 วัน
  • ใช้เป็นปุ๋ยชีวภาพ เพิ่มปริมาณและน้ำหนักของผลผลิตต่อไร่ บำรุงต้นไม้และพืชให้แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดีขึ้น-สารชีวภาพปรับสภาพดิน ใช้ในการปรับสภาพดิน ช่วนให้ดินกลับมามีชีวิต มีแร่ธาตุอาหารในดินเพิ่มขึ้น ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี ลดปัญหาดินเสื่อมสภาพ 

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

โบกาฉิ (Bokashi) เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า การหมัก (Compost) ที่จำเป็นต้องเรียกว่า “โบกาฉิ” เนื่องจากผู้คิดค้นทำอีเอ็มน้ำให้เป็นอีเอ็มแห้งในรูปจุลินทรีย์แห้งคือคนแรกคือ ศ.ดร.เทรูโอะ ฮิหงะ ปัจจุบันมีการใช้อีเอ็มอย่างหลากหลายทั่วโลกประมาณ 180 ประเทศ ผู้ใช้จากทั่วโลกจึงมีความยินดีเรียก โบกาฉิตามศัพท์เดิมที่มาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเข้าใจตรงกันว่าเป็นการทำปุ๋ยหมักด้วยอินทรียวัตถุ ที่หมักด้วยจุลินทรีย์อีเอ็มเท่านั้น ปัจจุบันได้มีการเรียกโบกาฉิในรูปของปุ๋ยชีวภาพต่างๆ ตามแต่ละท้องที่หรือผู้ส่งเสริมเผยแพร่จะเรียก ชื่อ

     โบกาฉิ เป็นการเพาะเลี้ยงจากจุลินทรีย์อีเอ็มที่เป็นน้ำให้เป็นอีเอ็มแห้ง ซึ่งมีวัสดุ เช่น รำข้าว มูลสัตว์ และแกลบ เมื่อการเพาะเลี้ยงเสร็จสมบูรณ์ภายใน 5-7 วัน จุลินทรีย์อีเอ็มจะเพิ่มจำนวนประชากรขึ้นเป็นจำนวนมาก แล้วนำไปเก็บรักษาไว้ได้นานขึ้น จุลินทรีย์อีเอ็มจึงอยู่ในรูปอีเอ็มแห้ง เมื่อเป็นอีเอ็มแห้งแล้ว จะมีอายุการเก็บรักษาได้อย่างยาวนานขึ้น เมื่อนำไปใช้ในด้านการปลูกพืช การประมง การรักษาสิ่งแวดล้อมจึงสามารถลดต้นทุนการผลิตได้มากและยังมีคุณสมบัติเหมือน จุลินทรีย์อีเอ็มน้ำทุกประการ

ส่วนผสม
   มูลสัตว์ 1 กระสอบปุ๋ย
    แกลบดิบ 1 กระสอบปุ๋ย
    รำ 1 ปิ๊ป
    EM 2 ช้อนโต๊ะ
    กากน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีการผลิต อีเอ็มแห้ง หรือ โบกาฉิ
    ผสมมูลสัตว์ กับแกลบก่อน แล้วค่อยผสมรำเข้าไป
    ผสม EM กับการน้ำตาล แล้วรดส่วนผสมที่จะทำโบกาฉิเลย
    ให้ความชื้นประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์
    บรรจุส่วนผสมทั้งหมดลงกระสอบปุ๋ย
    ในช่วง 1-4 วันแรก หมั่นกลับกระสอบเพื่อระบายความร้อนที่เกิดขึ้น
    หลังวันที่ 4 เป็นต้นมา จะเริ่มแห้งและเย็นลง จึงสามารถนำไปใช้ได้

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กังหันน้ำชัยพัฒนา

กังหันน้ำชัยพัฒนา ด้วยน้ำพระราชหฤทัยจากในหลวง
เมื่อน้ำที่มีองค์ประกอบของไฮโดรเจนยังต้องการออกซิเจนเป็น 
หัวใจสำาคัญในการดำรงสภาพและคุณภาพที่ดีเอาไว้ เปรียบ
เสมือนประชาชนชาวไทยที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นวันนี้ได้ ก็เพราะ
มีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คอยดูแลพสกนิกรของ
พระองค์อยู่เสมอมา และด้วย “น้ำพระราชหฤทัย” ที่เปี่ยมล้น
พระองค์จึงทรงคิดค้น “กังหันน้ำชัยพัฒนา” เครื่องกลเติมอากาศ 
ที่ใช้เทคโนโลยีเรียบง่ายขึ้น ซึ่งไม่เพียงช่วยรักษาสมดุลของแหล่ง
น้ำตามธรรมชาติได้อย่างกว้างขวางแล้ว แต่ยังเป็นดั่งสัญลักษณ์ 
ที่ช่วยเติมความชื่นฉ่ำใจให้พสกนิกรไทยทุกคนตราบนานเท่านาน 

กังหันนํ้า คือเครื่องจักรกลที่เปลี่ยนพลังงานการไหลหรือการตกของนํ้า
ไปสู่พลังงานรูปอื่น โดยเป็นกลไกสําคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาพลังงาน
นํ้าเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ยุคกลาง 
ส่วนการนําหลักการของกังหันนํ้ามาใช้บําบัดนํ้าเสียนั้น เป็นกระบวนการ
เพิ่มพื้นที่สัมผัสระหว่างอากาศกับนํ้าให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้
นํ้าและช่วยให้จุลินทรีย์สามารถย่อยสลายสิ่งสกปรกในนํ้าเสียได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ถือเป็นกระบวนการทางชีวภาพเพื่อการบําบัดนํ้าเสียที่ได้
รับความนิยมอย่างมากเพราะมีประสิทธิภาพและมีค่าใช้จ่ายน้อย
“กังหันนํ้าชัยพัฒนา” นําภูมิปัญญาที่เรียบง่าย ประหยัด แต่มีประสิทธิภาพ
สูงมาเป็นกุญแจสําคัญในการบําบัดผืนนํ้าของไทยให้คืนสู่จุดสมดุล 
ตามพระราชดําริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการแก้ไข
ปัญหานํ้าเน่าเสียเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2531 ด้วยทรงมุ่งหวังจะช่วยแบ่งเบา
ภาระของรัฐบาลและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนของพระองค์ จึงทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบประมาณเพื่อศึกษา
วิจัยร่วมกับกรมชลประทานในการสร้างต้นแบบ โดยดัดแปลงจาก "กังหัน
นํ้าสูบนํ้าทุ่นลอย" เป็น "กังหันนํ้าชัยพัฒนา" 
หลังจากนั้น กังหันนํ้าชัยพัฒนาจึงได้รับการติดตั้งเพื่อใช้งานเป็นครั้งแรกที่
โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า และที่วัดบวรนิเวศวิหารเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม
2532 เพื่อศึกษา วิจัย และพัฒนาระบบบําบัดนํ้าเสียเป็นเวลา 4-5 ปี 
ก่อนนําไปติดตั้งเพื่อใช้งานจริงในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ  
นอกจากจะช่วยทําให้นํ้าใสสะอาดขึ้นแล้ว กังหันนํ้าชัยพัฒนาก็ยังช่วย
ลดกลิ่นเหม็นลงได้ สามารถประยุกต์ไปใช้บําบัดนํ้าเสียจากการอุปโภค
ของประชาชนและจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเพิ่มออกซิเจนให้กับ
บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้าทางการเกษตรและแหล่งนํ้าธรรมชาติเกือบทุก
ประเภท 
กังหันนํ้าชัยพัฒนาได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้
บรรลุเป้าหมายในการบําบัดนํ้าเสียอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันจึงมีการ
พัฒนากังหันนํ้าชัยพัฒนาออกมาใช้งานแล้วถึง 9 รูปแบบ 
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2536 กังหันนํ้าชัยพัฒนา ได้รับการพิจารณาและ
ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย นับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกล
เติมอากาศเครื่องที่เก้าของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร และเป็นครั้งแรกที่ได้มี
การรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้แก่พระบรมราชวงศ์ จึงนับได้ว่า
เป็น "สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกใน
ประวัติศาสตร์ชาติไทยและประวัติศาสตร์ของโลก''

ขณะที่สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติก็ได้ประกาศให้กังหันนํ้า
ชั ย พั ฒ น า ไ ด้ รั บ ร า ง วั ล ที่ ห นึ่ ง ป ร ะ เ ภ ท ร า ง วั ล ผ ล ง า น คิ ด ค้ น ห รื อ สิ่ ง
ประดิษฐ์ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติประจําปี 2536 และทูลเกล้าฯ
ถวายรางวัลนี้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อีกวาระหนึ่ง 
กังหันนํ้าชัยพัฒนายังได้รับรางวัลเหรียญทองจากองค์กรนักประดิษฐ์ที่
เก่าแก่ที่สุดของยุโรป หรือ The Belgian Chamber of Inventor ในงาน 
Brussels Eureka 2000 ครั้งที่ 49 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2543 ณ กรุง
บรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ซึ่งหากมีใครเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์
ในวันนี้ ก็จะได้เห็น "กังหันนํ้าชัยพัฒนาพระราชทาน" ลอยเด่นเป็นสง่า
อยู่บนสระนํ้าในสวนสาธารณะโวลูเว แซงต์-ปิแอร์ เป็นการเทิดพระเกียรติ
ในพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงคิดค้น
สิ่งประดิษฐ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบไทยที่ทรงคุณค่าและสามารถพัฒนา
คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้ทั่วโลก
ที่มา:
www.panyathai.or.th
www.chaipat.or.th
www.manager.co.th

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แยกขยะแล้วรวย!

แยกขยะแล้วรวย!วันนี้ขอนำกรณีตัวอย่างของกิจการหนึ่ง ที่ทำการคัดแยกขยะแล้วขายได้เงิน
นำมาจากบทความของ "แม่ทองต่อ" จาก นสพ.ไทยรัฐ
วันก่อน "แม่ทองต่อ" ไปภูเก็ตกับคณะ ตาวิเศษ ของ คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ไปดูโครงการภูเก็ตน่าอยู่ด้วยรีไซเคิลเห็นแล้วปลื้มใจ อดไม่ได้ที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง เชื่อหรือไม่ค่ะ ขยะที่เราทิ้งไปทุกวัน...ถ้านับสะสมรวมเป็นปี เราทิ้งเงินไปไม่น้อย
ยิ่งถ้าเป็นกิจการขนาดใหญ่...ทิ้งเงินไปกับขยะมากมายมหาศาล
แต่ถ้าเรารู้จักจัดระเบียบขยะ...รู้จักแยกขยะเป็นหมวดเป็นหมู่...
ขยะทิ้ง ขยะขายได้สามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ให้กับกิจการได้ไม่น้อยทีเดียว
โรงแรมโรยัลพาราไดส์

อย่างโรงแรมโรยัลพาราไดส์ ที่หาดป่าตอง...
เห็นตัวเงินที่เขาได้มาจากขยะที่ทิ้งไป "แม่ทองต่อ" อดตาลุกวาวไม่ได้ค่ะ
เดิมที่โรงแรมแห่งนี้อะไรไม่ใช้ ทิ้งเป็นขยะหมด เฉลี่ยวันละ 570 กก.
พอมาจัดระเบียบขยะ แยกขยะแล้ว...
พบความจริงว่า มีขยะที่ต้องทิ้งจริง ๆ แค่ 25 เปอร์เซ็นต์
หรือประมาณ 140 กก. เท่านั้นเอง
ส่วนขยะที่เหลืออีก 430 กก. เป็นขยะเงินขยะทอง
ที่สามารถนำมารีไซเคิล ขายเป็นเงินได้ค่ะ...
ปีที่แล้วโรงแรมนี้ขายขยะได้เงินมากถึง 150,445 บาทค่ะ
นี่เฉพาะขยะที่แยกไว้ชั่งกิโลขาย จำพวกสารพัดกระดาษ ขวดเหล้าเบียร์ ฯลฯ
ไม่นับรวมรายได้ช่วยโรงแรมประหยัดเงินอีกปีละหลายแสนบาท
วิธีจัดระเบียบขยะไม่มีอะไรมากค่ะ...
เดิมอะไรเคยทิ้งหมด ก็มาจับแยก
เศษอาหารที่เมื่อก่อนทิชชู่ ไม้จิ้มฟัน เทรวมกันลงถังขยะ ก็จับแยกเป็นเศษอาหารอย่างเดียว...
ทิชชู่ไม้จิ้มฟัน แยกใส่อีกถัง เป็นขยะทิ้ง
เศษอาหารปลอดทิชชู่ ไม้จิ้มฟันไม่ตำเหงือกหมู
ขายเป็นอาหารสัตว์ได้เดือนละ 700 บาท
เศษผักผลไม้แยกไว้ต่างหาก
นำมาหมักเป็นปุ๋ยชีวภาพ...
เอาไปรดต้นไม้ในสวนของโรงแรม
ประหยัดเงินค่าปุ๋ยเคมีได้เดือนละ 6,000 บาท
น้ำปุ๋ยชีวภาพเอาไปราดล้างดับกลิ่นห้องน้ำ
ช่วยประหยัดได้เดือนละ 800 บาท
เศษดอกไม้ ใบไม้ที่ร่วงหล่นในสวน แทนที่จะทิ้งเป็นขยะ เอามาดัดแปลงตกแต่งเป็นดอกไม้ รีไซเคิลประดับโรงแรม ช่วยประหยัดเงินค่าซื้อดอกไม้ได้อีกเดือนละ 6,000 บาท
ผ้าปูเตียงเก่า ไม่เหมาะสำหรับปูให้แขกนอน
ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่สภาพยังดีอยู่ แทนที่จะทิ้ง...
นำมาตัดเย็บเป็นถุงใส่ผ้าซักสำหรับแขก
ประหยัดได้อีกเดือนละ 14,000 บาท
ผ้าปูเตียงตัดเป็นชิ้นเล็กทำที่รองแก้ว...
เดิมที่โรงแรมต้องควักเงินซื้อกระดาษรองแก้วเดือนละ 14,000 บาท เดี๋ยวนี้ไม่ต้องซื้อแม้แต่บาทเดียว
แถมผ้ารองแก้วใช้ได้หลายครั้ง...
กระดาษรองแก้วใช้ทีเดียวทิ้งเลย
น้ำดื่มในห้องพักสำหรับแขกเมื่อก่อนใช้ขวดพลาสติก...
ลดขยะพลาสติก เปลี่ยนมาใช้ขวดแก้วคืนขวดได้
ราคาถูก ช่วยประหยัดเดือนละ 22,000 บาท
สรุปแล้วช่วยโรงแรมประหยัดได้เดือนละ 62,000 บาท...
ปีหนึ่ง 744,000 บาท
มาบวกรวมกับที่ขายได้ ได้เงินเข้าโรงแรมปีหนึ่งร่วม 9 แสนบาท
รู้จักจัดระเบียบขยะ แยกขยะ ลดขยะ ไม่ทิ้งขยะมั่วซั่ว...
ได้เงินเข้ากระเป๋าปีละเกือบล้าน มันน่าอิจจาไหมล่ะ
ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน 2546
Picture Water Activities Price
 Phi Phi Maya and Khai Island ( Departure from Phuket ) Phi Phi Maya and Khai Island ( Departure from Phuket ) 2,260 THB
4 Island - YAO YAI Island and 3 Khai Island Tour By Speedboat 4 Island - YAO YAI Island and 3 Khai Island Tour By Speedboat 1,869 THB
Bang La Eco Tourism ( Kayaking , Demonstration ) Bang La Eco Tourism ( Kayaking , Demonstration ) 1,984 THB
Fishing Tour Fishing Tour 1,699 THB
Phang Nga Day In The Islands Phang Nga Day In The Islands 3,347 THB
Phi Phi Island Deluxe Plus + Yao Yai Island by Speed boat (Full Day) Phi Phi Island Deluxe Plus + Yao Yai Island by Speed boat (Full Day) 2,396 THB
Phi Phi Island Tour (Full Day) (by Cruise ) Phi Phi Island Tour (Full Day) (by Cruise ) 837 THB
Phi Phi Island Tour + Khai Island (By Speed Boat) ( Half  Day ) (Departure from Phuket) Phi Phi Island Tour + Khai Island (By Speed Boat) ( Half  Day ) (Departure from Phuket) 2,073 THB
Racha Island Tour by Speed Boat ( Full Day ) Racha Island Tour by Speed Boat ( Full Day ) 1,211 THB

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

โครงการปกป้องสภาพภูมิอากาศในภาคการท่องเที่ยว แผน 3 ปี

โครงการปกป้องสภาพภูมิอากาศในภาคการท่องเที่ยว แผน 3 ปี (2552-2554) โดยหวังผลให้ หมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยงจังหวัดตราด เป็นพื้นที่ต้นแบบนำร่อง "การจัดการ ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสภาพอากาศ" หรือ Climate Triendly Tourism เพื่อสร้าง จุดแข็งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดท่องเที่ยวระดับนานาชาติ ซึ่งแนวโน้มนักท่องเที่ยวหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยการลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดภาวะโลกร้อน
การจัดการ ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสภาพอากาศ

โครงการนี้มีองค์กรสนับสนุนทั้งเงินทุนและวิชาการ คือ สำนักงานความร่วมมือทางวิชาการของเยอรมัน (GTZ) และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) จังหวัดตราด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราด โดยมีชุมชน โรงแรม ธุรกิจการท่องเที่ยวบน เกาะช้าง และพื้นที่ชายฝั่งทะเลตราด ร่วมขับเคลื่อนอีกแรง
ขณะนี้มีชุมชนและโรงแรมบนเกาะช้าง ตื่นตัวด้านมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมโครงการกว่า 10 แห่ง โดยชุมชนมีการนำองค์ความรู้ผสมผสานภูมิปัญญา ท้องถิ่นจัดกิจกรรมท่องเที่ยวด้วยเรือมาด เรือคยัก ช่วยลดปริมาณคาร์บอน การทำบอลจุลินทรีย์บำบัดน้ำเค็ม การทำปุ๋ยชีวมวล ส่วนเจ้าของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างบ้านช้างไทย มีการลดปริมาณขยะ การทำปุ๋ยอินทรีย์ การประหยัดพลังงานไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้อย่างชัดเจน

หมู่เกาะช้างปล่อยคาร์บอน 19.74 ก.ก./คน/วัน

 ผู้จัดการโครงการการท่องเที่ยวและการปกป้องสภาพภูมิอากาศ GTZ เปิดเผยถึงผลการศึกษาปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอน (carbon foot print label) จากสถานบริการร้านค้า โรงแรม รีสอร์ต โฮมสเตย์ ร้านอาหาร การขนส่ง ผู้ประกอบการ ฯลฯ พื้นที่หมู่เกาะช้างพบว่ามีค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ 47,35 ตัน/ปี หรือ 0.2% ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย หรือเฉลี่ยนักท่องเที่ยว 19.74 กิโลกรัม/คน/วัน ขณะที่ในประเทศไทยเฉลี่ย 11 กิโลกรัม/คน/วัน

โดยเกาะช้างปล่อยก๊าซ 2,440 ตัน/เดือน เกาะกูด 548 ตัน/เดือน เกาะหมาก 477 ตัน/เดือน และชายฝั่ง 132 ตัน/เดือน ผลการปลดปล่อยคาร์บอนคาดว่าจะทำให้อุณหภูมิในพื้นที่หมู่เกาะช้างจะเพิ่มสูง ขึ้น 4 องศาเซลเซียส และปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 30% ซึ่งเสี่ยงกับปัญหาน้ำท่วมเนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 1 เมตร ส่งผลให้ชายฝั่งถูกทำลายและ สูญเสียแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญไปภาวการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง

อย่าง ไรก็ตาม ก่อนนี้การท่องเที่ยวจังหวัดตราดก็มีการลดปริมาณคาร์บอนอยู่แล้ว เช่น การให้บริการท่าเรือเฟอร์รี่เกาะช้างเซ็นเตอร์พอยต์ มีการใช้ก๊าซ NGV แทนน้ำมันดีเซล การเข้าร่วมเป็นสมาชิกโรงแรมใบไม้เขียว และตอนนี้มีโรงแรม รีสอร์ต ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเข้าร่วมโครงการ Climate Friendly Tourism กว่า 10 แห่ง แนวปฏิบัติต้องมีมาตรฐาน สิ่งแวดล้อม 7 Greens โรงแรมใบไม้เขียว ซึ่งทำให้โครงการนี้ต่อเนื่องได้ดี ทั้งวิธีการคัดแยกขยะ การบำบัดน้ำเสียด้วยจุลินทรีย์ในชุมชน หรือการจัดเมนูอาหารท้องถิ่นโดยไม่ต้องขนส่งวัตถุดิบมาจากที่อื่น การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าโดยนำกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวทางธรรมชาติสอดคล้องกับวิถีชีวิต

เล็งเสนอขายงาน ITB Berlin 2011

การ ร่วมแรงร่วมใจของชาวตราดและภาคธุรกิจในการจัดการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับ สภาพอากาศ นอกจากช่วยลดภาวะโลกร้อนและทำให้การท่องเที่ยวยั่งยืนแล้ว ในเชิงธุรกิจคือการเพิ่มโอกาสทางการตลาดใหม่ในเวทีโลกท่ามกลางกระแสความ ห่วงใยโลกใบนี้
 ภายในปี 2554 จะมีโรงแรมที่เข้าโครงการ Climate Friendly Tourism และนำเสนอต่อตลาดท่องเที่ยวนานาชาติในงาน ITB Berlin 2011 จำนวน 3-4 แห่ง ซึ่งเป็นโรงแรมบนเกาะช้างเกือบทั้งหมด และเป็นโรงแรมที่เข้ารับการขอรับการประเมินโรงแรมจากมูลนิธิใบไม้เขียว 7 Greens โดยยึดหลักการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เกิดผลกำไร หลักการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ โรงแรมอัยยะปุระ รีสอร์ทแอนด์สปา มีวิธีการจัดการลดพลังงาน การปลูกผักออร์แกนิก โรงแรมทรอปิกกาน่า โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส และโรงแรมปานวิมาน ที่ประกาศเป็นเขต non smoking!

ส่วนในพื้นที่ฝั่งจังหวัดตราดมีแห่งเดียว คือ โรงแรมบ้านปูรีสอร์ท มีการจัดเมนูอาหารท้องถิ่น การนำผ้าปูที่นอนมารียูสใหม่แทนการใช้กระดาษทิสชู

"หากโรงแรมในหมู่ เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง ได้รับการยอมรับเป็นโรงแรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในตลาด ท่องเที่ยวระดับโลก ต่อไปจะขยายผลโรงแรมในภาคตะวันออกเป็น green east coast ซึ่งผู้ประกอบการรายใดมีความพร้อมก็สามารถทำได้เลย เพราะอนาคตภาคตะวันออกจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของยุโรป และสแกนดิเนเวีย ถือเป็นโอกาสของการท่องเที่ยวไทยเพราะขณะนี้ในแถบเอเชียยังไม่มีใครทำ"


นี่ คือเทรนด์การท่องเที่ยวของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่ รุนแรง ซึ่งประเทศที่พึ่งพารายได้หลัก จากการท่องเที่ยวต้องเร่งปรับตัว

 ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 06 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4242  หน้า 24   โดย กาญจนา จินตกานนท์

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

วิธีทำ EM ball (ดังโงะ)

วิธีทำ EM ball (ดังโงะ)

เพื่อการบำบัดน้ำเสียในแหล่งน้ำที่มีโคลนตะกอน หรือน้ำไหล หรือน้ำลึก ให้ได้ผลดีกว่าการใช้ EM ขยาย หรือจะใช้ทั้ง EM ball และ EM ขยาย ร่วมกันก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น
ส่วนผสม ส่วนที่ 1


1. รำละเอียด 1 ส่วน
2. แกลบป่น หรือ รำหยาบ 1 ส่วน
3. ดินทราย 1 ส่วน

ใช้ โบกาฉิ แทนส่วนที่ 1 หรือใช้โคลนตะกอน แทนดินทรายได้
ส่วนที่ 2


1. EM 10 ช้อนแกง
2. กากน้ำตาล 10 ช้อนแกง
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร

ใช้ EM ขยาย หรือ EM หมักน้ำซาวข้าว หรือ EM5 ผสมร่วมกันหรือใช้แทน EM กับกากน้ำตาลได้
วิธีทำ

1. ผสมส่วนที่ 1 แล้วรดด้วยส่วนที่ 2 คลุกเคล้าให้เข้ากัน
2. วัดความชื้นพอเหมาะ ปั้นเป็นก้อนกลม หรือดัดแปลงได้ตามต้องการ
3. นำไปวางไว้ในที่ร่มจนแห้งสนิท แล้วนำไปใช้










ขอบคุณ:EMRO Asia

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

10 อันดับโรงแรมบูติคอนุรักษ์ธรรมชาติในเอเชียแปซิฟิกปี 2553

10 อันดับโรงแรมบูติคอนุรักษ์ธรรมชาติในเอเชียแปซิฟิกปี 2553

อันดับที่ 10



ไซโลโซ บีช รีสอร์ท, สิงคโปร์ (Siloso Beach Resort, Singapore)
ตั้ง อยู่ในพื้นที่ป่าไม้บนเกาะเซ็นโตซ่า ไซโลโซจ้างพนักงานที่มีจรรยาบรรณสีเขียวเพื่อลดการทำอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม รีสอร์ทถูกสร้างขึ้นโดยให้มีผลกระทบต่อพืชน้อยที่สุด, ใช้หลอดไฟ CFL, รีไซเคิลของเสีย, และนำน้ำจากเครื่องปรับอากาศมาใช้กับเครื่องทำน้ำอุ่น การออกแบบรีสอร์ทก็มีส่วนช่วยให้เกิดความยั่งยืน เช่น สวนบนหลังคาทำให้เกิดความเย็นภายในห้องพัก และวิลล่าบางหลังก็สร้างไว้รอบๆ ต้นไม้ ด้วยความที่ไซโลโซเป็นรีสอร์ทสีเขียว จึงทำให้มีสัตว์ป่านานาชนิดรวมถึงกบ กิ้งก่า และนก อาศัยอยู่มากมาย

อันดับที่ 9



นิฮิวาตู รีสอร์ท, ซัมบ้า, อินโดนีเซีย (Nihiwatu Resort, Sumba Indonesia)
ตั้ง อยู่บนชายหาดทอดยาว 2.5 กิโลเมตรบนเกาะซัมบ้า บูติกรีสอร์ทแห่งนี้ได้รับรางวัลระดับนานาชาติด้านความพยายามอนุรักษ์สิ่ง แวดล้อมและพัฒนาชุมชน และรีสอร์ทแห่งก็เป็นหนึ่งใน 10 โรงแรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของอโกด้าในปี 2550 ด้วย บังกะโลทั้ง 13 หลังถูกสร้างขึ้นจากฝีมือชาวอินโดนีเซียและใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น และมีการจ้างงานชาวซัมบ้าทำงานที่รีสอร์ทถึงร้อยละ 95 ของพนักงานทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2544 เจ้าของรีสอร์ทได้ร่วมจัดตั้งมูลนิธิซัมบ้าขึ้นเพื่อขจัดความยากจนในชุมชน ชาวซัมบ้า
อันดับที่ 8



โทปาส อีโคลอดจ์, ซาปา, เวียดนาม (Topas Ecolodge, Sapa Valley, Vietnam)
ตั้ง อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหว่างเหลียน แขกของโทปาส อีโคลอดจ์จะได้ชมวิวขุนเขาหว่างเหลียนเซินหรือ “ตันกีนีส แอลป์ส” อันเขียวชอุ่ม ชมนาขั้นบันได และหมู่บ้านในหมอก รีสอร์ทใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับวิลล่า 25 หลัง บำบัดน้ำเสีย และใช้วัสดุที่หาได้ภายในท้องถิ่น นอกจากนั้นยังรักษาระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้อยู่ในระดับต่ำ



อันดับที่ 7



บาเมอร์รู เพลนส์, ออสเตรเลีย (Bamurru Plains, Australia)
ตั้ง อยู่บริเวณป่าชายเลนในอุทยานแห่งชาติคาคาดู บาเมอร์รู เพลนส์ เป็นส่วนหนึ่งของฟาร์มเลี้ยงควายและปศุสัตว์เอกชนบนพื้นที่ 75,000 เอเคอร์ บูติกรีสอร์ทแห่งนี้อนุรักษ์นิยมถึงขั้นไม่มีโทรทัศน์หรือโทรศัพท์ในบังกะโล (มีเพียงแค่ 3 หลังเท่านั้นที่มีเครื่องปรับอากาศ โดยต้องชำระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) พลังงานที่ใช้ในรีสอร์ทร้อยละ 75 มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ กรองน้ำบาดาลมาเป็นน้ำดื่ม ขวดต่างๆ ถูกนำมารีไซเคิล และสบู่ก็ปลอดสารเคมี

อันดับที่ 6



โรงแรมยูอาร์บีเอ็น, เซี่ยงไฮ้, จีน (URBN hotel, Shanghai, China)
ตั้ง อยู่ในโรงงานที่ถูกดัดแปลงขึ้นในพื้นที่สัมปทานฝรั่งเศสของเซี่ยงไฮ้ การปรับปรุงใหม่ใช้เฉพาะวัสดุรีไซเคิลและวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น โรงแรมสไตล์มินิมอล URBN Shanghai แห่งนี้เป็นโรงแรมคาร์บอนสมดุลแห่งแรกในประเทศจีน ความยั่งยืนเป็นแนวทางปฏิบัติที่ URBN ซึ่งใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสพความสำเร็จในตามแนวคิดคาร์บอน สมดุล โดยการเข้าร่วมโครงการล้านต้นกล้า (Million Tree Project) ซึ่งเป็นโครงการที่ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการจัดซื้อต้นกล้า ที่ปลูกขึ้นในทะเลทรายคุหลุนของมองโกเลีย

อันดับที่ 5



บันจาร์ โทลา, อินเดีย (Banjaar Tola, India)
ตั้ง อยู่ใจกลางอุทยานแห่งชาติกัณหา มองเห็นทิวทัศน์ของป่าไม้ไผ่และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเสือนานาชนิด ที่พักของ บันจาร์ โทลา ประกอบไปด้วยเต๊นท์หรูสไตล์ซาฟารี 18 หลัง สร้างขึ้นจากวัสดุท้องถิ่นเช่นไม้ไผ่และหวาย ตกแต่งด้วยศิลปะของชนพื้นเมืองบาสตาร์และโดกรา บันจาร์ โทลามีวิถีปฏิบัติแบบ “เอิร์ธ” (EARTH - Environment Awareness and Renewal at Taj Hotels) ซึ่งเป็นแนวคิดริเริ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของเครือทัชโฮเต็ลส์โดยการใส่ใจ ต่อสิ่งแวดล้อมและการนำกลับมาใช้ใหม่ และได้รับการรับรองจากโครงการเอิร์ธเช็คซึ่งเป็นองค์กรที่อยู่เบื้องหลัง โครงการลูกโลกสีเขียว

อันดับที่ 4



ตาฮิ, โอฮัว, นิวซีแลนด์ (Tahi, Ohua, New Zealand)
ครอบ คลุมพื้นที่ 740 เอเคอร์ซึ่งประกอบไปด้วยฟาร์ม ป่า ป่าชายเลน และชายหาดสำหรับเล่นวินด์เซิร์ฟ รีสอร์ทนี้ตั้งอยู่ห่างจากเมืองโอ๊คแลนด์ 2.5 ชั่วโมง ประกอบไปด้วยบังกะโลหรูสองหลัง หลังหนึ่งเหมาะสำหรับคู่รักและอีกหลังหนึ่งเหมาะสำหรับครอบครัว แต่ละหลังได้รับการปรับปรุงให้หรูหราตามมาตรฐานโดยใช้วัสดุที่หาได้ในท้อง ถิ่น ใช้น้ำฝนมาทำน้ำดื่ม ปลูกผักปลอดสารพิษภายในรีสอร์ท และยังมีฟาร์มผึ้งซึ่งผลิตน้ำผึ้งมานูก้าเพื่อสุขภาพ ด้านความสมานสามัคคีกับชนเผ่าพื้นเมืองเมารีนั้น ผู้บริหารของรีสอร์ทมองว่าตนเองเป็นเหมือนผู้ดูแลรักษามากกว่าที่จะเป็นเจ้า ของสถานที่ และสละเวลาในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมด้วยการปลูกต้นไม้ ใช้วัตถุดิบที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และปกปักรักษาพืชและสัตว์ในบริเวณนั้น

อันดับที่ 3



กายานา อีโค รีสอร์ท, มาเลเซีย (Gayana Eco Resort, Malaysia)
ตั้ง อยู่บนเกาะปูเลากายา ริมชายฝั่งโกตากินะบะลู กายานา อีโค รีสอร์ท อยู่ท่ามกลางป่าโกงกางและแนวปะการัง แนวปะการังและปลาเป็นจุดโฟกัสหลักของศูนย์การวิจัยของรีสอร์ท ซึ่งจัดให้มีโปรแกรมฟื้นฟูแนวปะการังโดยให้แขกที่มาพักได้มีส่วนร่วมในการ ปลูกปะการังด้วย นอกจากนั้นศูนย์การวิจัยยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถชมม้าน้ำ ปลาดาว และหอยกาบยักษ์ได้อย่างใกล้ชิด หรือเดินสำรวจป่าพร้อมไกด์นำทางซึ่งจะแนะนำให้แขกที่มาพักได้รู้จักกับสัตว์ นานาชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าบนเกาะนี้

อันดับที่ 2



โซเนวา คีรี, เกาะกูด, ประเทศไทย (Soneva Kiri, Koh Kood, Thailand)
หนึ่ง ในรีสอร์ทเครือซิกซ์เซ้นส์ โซเนวาคีรี ตั้งอยู่บนเกาะกูดจังหวัดตราด การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเป็นรากฐานของรีสอร์ทหรูแห่งนี้ รีสอร์ทถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุบนเกาะเกือบทั้งหมด (ไม้ไผ่, หินทราย, ขอนไม้, โคลนอิฐ, และประติมากรรมดินเผา) และของบางส่วนทำขึ้นโดยช่างฝีมือชาวกะเหรี่ยงทางภาคเหนือของประเทศไทย นอกจากนั้นโซเนวาคีรียังมีความโดดเด่นแบบ อีโค-วิลล่า หลังคาประดับด้วยเฟิร์นและฉากกันอาบน้ำทำจากขวดโซดารีไซเคิล และยังมีกิจกรรมต่างๆ ให้แขกที่มาพักประทับใจกับสถานที่ยิ่งขึ้นด้วยการรับประทานอาหารบนต้นไม้ เรียนดูดาว เยี่ยมชมฟาร์มผึ้ง ฟาร์มไข่มุก หรือเรียนทำสวน

อันดับที่ 1



อลีลา วิลล่าส์ ฮาดาฮา, กาฟู อะลิฟู อะทอล, มัลดีฟส์ (Alila Villas Hadahaa, Gaafu Alifu Atoll, Maldives)
ถือ เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมสำหรับทุกรีสอร์ท ได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวระหว่างขั้นตอนการก่อสร้าง ขั้นตอนการออกแบบ ระบบบริหารจัดการ และการปฏิบัติงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแนวคิด คาร์บอนสมดุล การออกแบบวิลล่าทั้งบนน้ำและบนพื้นดินของรีสอร์ทหรูแห่งนี้สนับสนุนการท่อง เที่ยวยั่งยืนด้วยการรองรับน้ำฝนและการระบายอากาศตามธรรมชาติเพื่อให้เกิด ความเย็นภายใน และสิ่งที่ได้ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องก็คือการใช้กระดาษรีไซเคิล จัดหาการผลิตในท้องถิ่น และมีการผลิตน้ำดื่มแบบรีเวิร์สออสโมซิสสำหรับพนักงาน ในระดับภูมิศาสตร์ อลีลา วิลล่าส์ ฮาดาฮา มีการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้แขกที่มาพักได้มีโอกาสสำรวจและเข้าใจเกี่ยว กับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเยี่ยมชมชุมชนพื้นเมือง และนำเที่ยวเกาะโดยนักชีววิทยาของรีสอร์ท
Picture Hotels Class Location Price
Away Koh Kood, Centara Boutique Collection Away Koh Kood, Centara Boutique Collection Klong Chao 2,155 THB
Koh Kood Beach Bungalow Koh Kood Beach Bungalow Ao Yai Kee 2,005 THB
The Beach Natural Resort Koh Kood The Beach Natural Resort Koh Kood Bang Bao Beach 973 THB


ขอบคุณ : http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1933

โรงแรมสีเขียว หรือ โรงแรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ลดภาวะโลกร้อน

โรงแรมสีเขียวหรือ โรงแรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ลดภาวะโลกร้อน
โรงแรมสีเขียวลดภาวะโลกร้อน

คราวน์ พลาซา โคเปนเฮเกน ทาวเวอร์ส โรงแรมหรูขนาด 366 ห้อง ของประเทศ
เดนมาร์ก ประกาศตัวว่าเป็น โรงแรมสีเขียวหรือ โรงแรมที่วางระบบช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
และประหยัดพลังงานมากที่สุดในโลก!
"คราวน์ พลาซา โคเปนเฮเกน" นั้นเพิ่งเปิดให้บริการช่วงปลายปี 2552 นี่เอง
ชูจุดขายเป็น "ผู้ประกอบการ" ที่มีความใส่ใจ-อยากช่วยแก้วิกฤตโลกร้อน
ฉะนั้นบรรดาอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหลายแหล่ในโรงแรม โดยเฉพาะอุปกรณ์ไฟฟ้าล้วน
แล้วแต่ผ่านการคัดสรร ว่า เป็นสินค้าประหยัดพลังงาน
นอกจากนี้ บนหลังคาของตัวอาคารยังติดตั้ง "แผงเซลล์สุริยะ"(Solar cell) สำหรับแปลงแสงอาทิตย์
มาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงโรงแรม ส่วนการปรับอุณหภูมิทำความร้อน-เย็นภายในห้องพัก
ก็ติดตั้งระบบหล่อเย็นด้วยน้ำเอาไว้ใต้ดิน 100 เมตรพร้อมสรรพ
ล่าสุด ผู้บริหารธุรกิจโรงแรมกลุ่มอินเตอร์คอนทิเนนทัล บริษัทแม่ของคราวน์ พลาซา ยัง
แถลงข่าวแผนผลิตไฟฟ้าครั้งใหม่โดยนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงสิ้นปี...
ลูกค้าคนไหนต้องการรับประทานอาหารฟรี 1 มื้อ รวมมูลค่าประมาณ 1,400 บาท
ก็สามารถเข้าไป "ปั่นจักรยาน" ออกกำลังกายในห้องยิม
ซึ่งเวลาที่นั่งปั่นไปเรื่อยๆ จักรยานดังกล่าวจะสามารถทำหน้าที่ประจุ หรือ ชาร์จไฟเข้า
ไปเก็บไว้ใน "แบตเตอรี่" เพื่อรอจ่ายเข้าระบบไฟฟ้าหลักของโรงแรมต่อไป
โดยนโบายหลักที่น่ายกย่องและเอาเยี่ยงอย่างเป็นอย่างยิ่ง แบ่งเป็นหมวดหมู่ดังนี้
หมวดที่ 1   นโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม
หมวดที่ 2   การจัดการของเสีย
หมวดที่ 3   ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและน้ำ
หมวดที่ 4   การจัดซื้อ
หมวดที่ 5   คุณภาพอากาศภายในอาคาร
หมวดที่ 6   มลพิษทางอากาศ
หมวดที่ 7   มลพิษทางเสียง
หมวดที่ 8   คุณภาพน้ำ
หมวดที่ 9   การเก็บรักษา ใช้ และจัดการเชื้อเพลิง แก๊ส และสารพิษ
หมวดที่ 10 ผลกระทบต่อระบบนิเวศ
หมวดที่ 11 การมีส่วนร่วมกับชุมชนและองค์กรท้องถิ่น
จาก:ข่าวสดออนไลน์ 22 เมษายน 2553
หมุนก่อนโลก
วิทยา ผาสุก wittayapasuk@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

โรงแรมคำแสด ริเวอร์แคว รีสอร์ท จ.กาญจนบุรี ลดโลกร้อนด้วย ถังหมักแก๊สชีวภาพ

โรงแรมคำแสด ริเวอร์แคว รีสอร์ท จ.กาญจนบุรี ลดโลกร้อนด้วย ถังหมักแก๊สชีวภาพ

          โรงแรมคำแสดฯ มี 120 ห้องพัก มีขยะเปียกและเศษอาหารจากการจัดเลี้ยงและประกอบอาหาร 220 - 350 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งในอดีตของเสียเหล่านี้ถือเป็นภาระที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัด หลังจากได้สร้างระบบก๊าซชีวภาพแบบถังลอยกวนผสม ขนาด 80 ลบ.ม. เพื่อรองรับของเสียประเภทขยะเศษอาหาร สามารถส่งก๊าซชีวภาพผ่านท่อไปใช้ทดแทนก๊าซหุงต้มในครัวปรุงอาหาร สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงได้ถึงวันละ 680 บาท/วัน หรือปีละประมาณ 250,000 บาท นอกจากนี้กากเศษอาหารในถังหมักยังกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งนำมาใช้ในแปลงเพาะปลูกหรือพื้นที่สีเขียว
คำแสดรีสอร์ท


   ขยะเป็นตัวการสำคัญหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อปัญหามลภาวะเป็นพิษ การทับถมกันของมูลฝอยต่างๆ จะปล่อยก๊าชมีเทน ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ ที่จะขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศ  มนุษย์เป็นต้นเหตุหลักอย่างไม่อาจปฏิเสธ เพราะกิจกรรมส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันของเรา เกี่ยวโยงอยู่กับการใช้พลังงานทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่ผลิต กระทั่งสินค้า (วัตถุ) กลายมาเป็นขยะ
การจัดการขยะอย่างถูกวิธี จึงเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยยืดอายุโลกใบนี้ และหากสามารถเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานทดแทนได้ ก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย เพราะประมาณการกันว่าหากวิถีชีวิตมนุษย์ยังเป็นแบบในปัจจุบันนี้ พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมัน, ก๊าชธรรมชาติ, ถ่านหิน) จะหมดไปจากโลกในอีกไม่เกิน 50 ปีข้างหน้า
คำแสดรีสอร์ท
ที่ "คำแสด ริเวอร์แคว รีสอร์ท" แห่งนี้เอง ที่พนักงานของที่นี่ทุกคนประกาศลั่นว่า "เราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยโลกเพราะเราไม่ทิ้งขยะ"
"ตุลย์ บุนนาค" ผู้จัดการทั่วไปของ คำแสด ริเวอร์แคว รีสอร์ท เล่าถึงวิธีการจัดการขยะของที่นี้ให้ฟังว่า ขั้นแรกจะมีการแยกขยะก่อน โดยแบ่งเป็นขยะแห้ง ขยะสด และขยะเปียก จากนั้นก็ดูว่าขยะแต่ละประเภทจะนำไปทำอะไรได้บ้าง
ขยะแห้ง เช่น ขวดน้ำมันพืช ปี๊บน้ำตาล เศษสังกะสี ถุงพลาสติค ฯลฯ ทำการคัดไว้เพื่อจำหน่าย เพราะสามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ สำหรับขยะสด เช่น ใบไม้ กิ่งไม้เล็กๆ จะนำไปทำเป็นปุ๋ยพืชสด ดอกไม้ที่ร่วง นำไปทำสบู่เหลว หรือแชมพู กิ่งไม้ใหญ่ๆ ใช้เผาถ่าน ได้น้ำส้มควันไม้ที่มีฤทธิ์ไล่แมลงและสำหรับขยะเปียก เช่น เศษอาหารต่างๆ สามารถนำไปผลิตเป็นก๊าซชีวภาพได้
 เริ่มจากการลองผิดลองถูก สะเปะสะปะมาเรื่อย เมื่อก่อนต้องเสียค่าทิ้งขยะเดือนละ 17,000 บาท เพื่อขนขยะไปฝังกลบข้างนอก เสียทั้งเงิน และก็ทำให้ดินที่เอาขยะไปทิ้งเสียหาย ทำให้มาเริ่มคิดแล้วว่าน่าจะมีวิธีการจัดการขยะแบบใหม่ ก็เลยตั้งโรงคัดแยกขยะขึ้นมา
บ่อหมักแก๊สชีวภาพคำแสดรีสอร์ท
ถังหมักและถังเก็บก๊าซขนาด 8000 ลิตร
ที่ มาของการคิดเรื่องนี้เกิดจากท่านกรรมการผู้จัดการของเรา คือ "ลัดดาวัลย์ เผ่าวิบูลย์" ให้แนวคิดตอนที่เรามีวิกฤตหลายครั้งที่ผ่านมาว่า เราจำเป็นต้องใช้ของอย่างคุ้มค่า จึงเริ่มหาความรู้เรื่องนี้ กระทั่งได้พบกับ "อาจารย์บุญมา ป้านประดิฐ" แห่งศูนย์วิศวกรรมพลังงาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ท่านทำงานด้านนี้และได้กรุณาให้คำแนะนำ ให้ความรู้ เราได้นำมาปฏิบัติและพัฒนาต่อ อาจารย์ท่านก็คอยให้คำปรึกษาและดูแลเรามาจนถึงทุกวันนี้
ในส่วนของการผลิตก๊าซชีวภาพ ซึ่งให้ความร้อนสำหรับการหุงต้ม นอกจากจะมีการจัดการอย่างเป็นระบบใหญ่ของทางรีสอร์ทแล้ว ตามบ้านพักของพนักงานทุกคนก็จะมีถังขนาดเล็ก เพื่อผลิตก๊าซชีวภาพสำหรับใช้หุงต้มในครัวเรือนด้วยเช่นกัน
การผลิต ก๊าซชีวภาพจะใช้ขยะอินทรีย์เป็นอาหารเลี้ยงจุลินทรีย์ เช่น เศษอาหารที่เหลือจากการบริการลูกค้า ขยะอินทรีย์ที่เหลือจากการทำอาหาร ขยะที่เหลือในแปลงเกษตร โดยจะทำการบดละเอียดเสียก่อนเพื่อจะให้จุลลินทรีย์ย่อยสลายได้ง่ายขึ้น จากนั้นนำใส่ลงในบ่อหมัก เพื่อให้เกิดขบวนการย่อยสลายเกิดก๊าชชีวภาพต่อไป
ขบวนการเกิดก๊าซชีวภาพในบ่อหมักจะมีด้วยกัน 3 ขั้นตอนหลักคือ
1.การ ย่อยสลายอินทรีย์สาร (Hydrolysis) อินทรีย์สารเป็นส่วนประกอบในพืชและสัตว์ ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ซึ่งมีโมเลกุลขนาดใหญ่ จุลินทรีย์จะทำการย่อยอินทรีย์สารนี้ให้มีขนาดเล็กลง ในขบวนการย่อยสลายนี้ จุลลินทรีย์จะปลดปล่อยเอ็นไซม์เปลี่ยนอินทรีย์สารต่างๆ ไปเป็น กลูโคส กรดอะมิโน กลีเซอรอล และกรดไขมัน โดยจะได้ในรูปของสารละลาย
2.การ เกิดกรด (Acidification) สารละลายในขั้นตอนแรกจะถูกหมักต่อไปในสภาพไร้อากาศโดยจุลลินทรีย์ที่ไม่ต้อง การอากาศในการดำรงชีพ จุลินทรีย์เหล่านี้จะย่อยสารละลายให้เป็นกรดน้ำส้ม แอลกอฮอล์ ไฮโดเจน คาร์บอนไดออกไซด์
3.การ เกิดก๊าซมีเทน (Methanization) กรดน้ำส้ม แอลกอฮอล์และคาร์บอนไดออกไซด์ จะถูกจุลลินทรีย์ในกลุ่มที่ชื่อเมทาโนจีนิค (Methanoginic) หรือเมทาโนเจน (Methanogen) ย่อยสลายในสภาพไม่มีอากาศเกิดเป็นก๊าซมีเทนขึ้น โดยก๊าซจะไหลเข้าถังเก็บ (อีกถัง) ซึ่งเป็นถังลอยเพื่อรอการสูบส่งไปใช้
"การใช้งานก๊าชชีวภาพ เรานำมาใช้ทดแทนก๊าชหุงต้มในครัว จากการเก็บตัวเลข สามารถทดแทนก๊าชหุงต้มได้ประมาณ 40% จากที่เคยจ่าย สืบเนื่องจากเรามีขยะที่ใส่ลงไปคิดเป็นอัตราที่ต้องใส่ทั้งหมดได้ประมาณ 35% เท่านั้น ทั้งที่ถังผลิตก๊าซชีวภาพสามารถใส่ขยะได้ประมาณ 1,000 กก./วัน แต่ตอนนี้เราใส่แค่ 350 กก./วัน เพราะหาขยะไม่ได้" ผู้จัดการทั่วไปท่านนี้เปิดเผยข้อมูล
และบอกว่าก๊าซชีวภาพที่ได้ ทางคำแสด ริเวอร์แคว รีสอร์ท จะนำไปใช้ในครัวที่มีอยู่ 4 ครัว โดยได้พัฒนาเตาให้เหมาะกับการใช้ก๊าซชีวภาพและสามารถใช้ก๊าชแอลพีจี (LPG) ร่วมด้วยได้
สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตก๊าชชีวภาพ ประกอบด้วย เครื่องบดย่อย, ถังหมักขนาด 8,000 ลิตร, ถังเก็บก๊าซขนาด 8,000 ลิตร, อุปกรณ์ปั๊มลม, ถังเก็บแรงดันทนแรงดันได้ 10 บาร์, อุปกรณ์สำหรับกรองก๊าซ, ท่อส่งก๊าซ, หัวเตาที่ใช้กับก๊าซชีวภาพ
ใน การนำก๊าซมีเทนไปใช้ ขั้นแรกจะมีการสูบเข้าเก็บในถังอีกลูกหนึ่งที่สามารถทนแรงดันได้มากกว่า 4 บาร์ ซึ่งจะทำให้ก๊าซมีแรงดันมากพอที่จะส่งไปตามท่อไกลๆ ได้ แต่ก่อนที่จะนำไปใช้ จะมีการปล่อยก๊าซผ่านชุดกรองกำจัดกลิ่น กำจัดก๊าซบางตัวที่ไม่ต้องการ เช่น ก๊าซไข่เน่า เป็นต้น
ทำให้ก๊าซที่ผ่านชุดกรองจะสามารถจุดติดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ คำแสด ริเวอร์แคว รีสอร์ท ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ก็ด้วยความร่วมมือของพนักงานทุกคน

"เราไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตัวเรา แต่เราเอารายได้เลี้ยงธุรกิจ พนักงานทุกคนมีข้าวกินครบ 3 มื้อ..."
ประโยค ข้างต้นคือสิ่งที่กรรมการผู้จัดการของที่นี่บอกตั้งแต่ต้นเกี่ยวกับธุรกิจ และความเป็นอยู่ของพนักงานทุกคน ก็เป็นสิ่งยืนยันที่ท่านพูดได้ดี เพราะแม้เงินเดือนจะไม่สูงมาก แต่ทุกคนก็อยู่อย่างพอเพียง มีความสุข

คำแสดรีสอร์ท
ดัง นั้น กับเรื่องว่าคุ้มค่าไหม กับการจัดการขยะที่ทำอยู่ ตุลย์บอกว่า ผลที่ได้จากโครงการทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงมาบ้าง ค่าแก๊ซหุ้งต้ม ค่าสารเคมีในการรักษาสวนที่มีอยู่ 140 ไร่ เพราะผลิตสารชีวภาพทดแทนได้หมดอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้น้ำยาดับกลิ่นต่างๆ ก็ลดลง และสิ่งคุ้มค่าสุดที่ได้กลับมาคือ เรื่องสิ่งแวดล้อม
ไม่นาน มานี้ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนกท่านหนึ่งเคยมาพักผ่อนที่รีสอร์ท จากการเดินดูรอบบริเวณอย่างคร่าวๆ เขาก็กล้ายืนยันว่าที่นี่มีนกไม่ต่ำกว่า 50 ชนิด
"น่าจะจัดกิจกรรมดูนกด้วย" ลูกค้าหลายคนที่มาพักเคยเสนอแนะ
อาจ เก็บไว้พิจารณาสำหรับข้อเสนอของลูกค้า แต่สำหรับเรื่องพลังงานทดแทนกู้วิกฤตโลกร้อน ตอนนี้ทางคำแสด ริเวอร์แคว รีสอร์ท กำลังศึกษาเรื่องพลังงานทดแทนจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม


"อนาคต คำแสดจะให้ความสำคัญในเรื่องของการใช้พลังงานทดแทนเป็นอันดับต้นๆ โครงการก๊าซชีวภาพเราก็ยังพัฒนาต่อไป เรามีโครงการสูบน้ำด้วยพลังน้ำ (กังหันน้ำ) ซึ่งเรากำลังจะนำเครื่องลงน้ำ ผลิตไฟฟ้าด้วยพลังน้ำ ทำไบโอดีเซล เป็นต้น เรื่องพวกนี้เรามีผู้รับผิดชอบโดยตรง"
 ขอบคุณ; http://www.greenenergynet.net,http://www.deqp.go.th

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

ขยะอินทรีย์ จัดการดีๆ ก็คือ เงิน

ขยะอินทรีย์ จัดการดีๆ ก็คือ เงิน
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กันยายน 2552
สำหรับประเทศที่ยังมองเห็นเศษซากอินทรียสารเป็นของไร้ค่าเหม็นเน่าน่ารังเกียจ ขยะก็ย่อมเป็นตมปัญหาที่ต้องกำจัด แต่ประเทศใดที่มองเห็นซากเน่าเหม็นเป็นพลังงานหรือเป็นปุ๋ยชีวภาพ ขยะอินทรีย์ก็กลายเป็น "ขยะหอม" ที่ส่งกลิ่นยั่วยวนด้วยรายได้เป็นกอบเป็นกำได้เหมือนกัน
หลายคนรู้ดีว่า อินทรียสารในขยะชีวภาพสามารถนำไปแปรเปลี่ยนเป็นก๊าซชีวภาพ พลังงานไฟฟ้า และปุ๋ยหมักได้ แต่มีเพียงขยะ 1,000 ตันต่อวัน จากขยะอินทรีย์ราว 60% ของขยะปริมาณกว่า 8.7 พันตันต่อวัน ที่ถูกนำไปแปรเปลี่ยนเป็นปุ๋ยหมักที่ "โรงขยะพันตัน" ณ สถานีขนถ่ายและกำจัดขยะ อ่อนนุช
ขยะอินทรีย์ที่เหลือถูกนำไปฝังกลบ โดยมีต้นทุนเป็นค่าขนส่งและกำจัดขยะที่สูง ถึงตันละ 1 พันบาท ทั้งๆ ที่ทุกคนตระหนัก ดีถึงคุณูปการของขยะอินทรีย์ และก็ยังรู้อีกว่ามีวิธีการจัดการขยะอินทรีย์ที่ง่ายและดีกว่าการฝังกลบและการเผาหลายเท่านัก
นั่นก็คือการใช้สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ในดิน...ตัวหนึ่งคือ จุลินทรีย์ ส่วนอีกตัวก็คือไส้เดือนดิน
ปุ๋ยชีวภาพ ก๊าซชีวภาพ ผลผลิตชั้นดีจากสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋ว
ทั้งนี้ ผลิตผลจากขยะอินทรีย์ที่สามารถสร้างได้ง่ายที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้น "ปุ๋ยหมัก"
ในบางครัวเรือน แค่เพียงกองเศษซากอาหาร เศษพืชผักผลไม้ และกากของเสีย ไว้ใต้ต้นไม้หรือในบ่อหมัก เพียงไม่นาน จุลินทรีย์และขบวนการทางชีวเคมีจะเปลี่ยน แปลงและย่อยสลายอินทรียสารในเศษซากขยะนั้นจนกลายเป็นปุ๋ยชีวภาพที่แทบไม่ต้องลงแรงและลงทุน แต่ให้ธาตุอาหารสูงและยังช่วยปรับดินให้ร่วนซุย
คำแสดรีสอรท์
สำหรับบ่อหมักขยะอินทรีย์ที่มีขนาด ใหญ่ ยังมีผลพลอยได้ก่อนที่ขยะจะกลายเป็นปุ๋ยหมักชั้นดี นั่นก็คือก๊าซชีวภาพ หรือ Biogas ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยจุลินทรีย์ภายใต้ สภาวะที่ปราศจากออกซิเจน (หรือที่เรียกว่า สภาพที่ไร้อากาศ) เรียกว่าไม่เพียงเป็นการกำจัดขยะอินทรีย์ แต่ยังได้พลังงานสะอาดจากขยะและปุ๋ยอินทรีย์อย่างดีมาใช้ฟรีๆ เป็นของแถม
ยกตัวอย่าง คำแสด ริเวอร์แคว รีสอร์ท ขนาด 120 ห้อง รองรับแขกกว่า 400 คน แต่ละวันมีขยะเปียกและเศษอาหารถึง 220-350 กก. ในอดีตขยะเหล่านี้ถือเป็นภาระที่ต้องจ่ายค่ากำจัดขยะด้วยวงเงินจำนวนมาก แต่หลังจากโรงแรมหันมาใช้ระบบก๊าซชีวภาพ ขนาด 80 ลบ.ม. เพื่อกำจัดขยะเหล่านี้ โรงแรมก็สามารถประหยัดเงินค่าก๊าซหุงต้มในครัวและส่วนจัดเลี้ยงถึง 680 บาทต่อวัน หรือตก 2.5 แสนบาทต่อปี ทั้งยังได้ปุ๋ยอินทรีย์มาใช้เพาะปลูกพืชผักและต้นไม้ในรีสอร์ตฟรีๆ อีกด้วย
ขณะที่เมืองใหญ่อย่างเทศบาลนครระยองก็มีโครงการนำร่องผลิตก๊าซชีวภาพจากขยะอินทรีย์ซึ่งรองรับขยะได้ปริมาณวันละ 60 ตัน โดยผลิตก๊าซที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ไม่น้อยกว่าปีละ 5.1 ล้านหน่วย และขายเข้าระบบได้ถึง 3.8 ล้าน หน่วย คิดเป็นเงินราว 5.8 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังได้ปุ๋ยอินทรีย์กว่า 5.5 พันตันต่อปี คิดเป็นเงินร่วม 5.6 ล้านบาทต่อปี เป็นผลพลอยได้ด้วย
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีขยะมูลฝอยเกือบ 15 ล้านตันต่อปี กว่าครึ่งเป็นขยะอินทรีย์ นั่นหมายถึงศักยภาพที่จะผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่า 1,000 ล้านหน่วยต่อปี สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทต่อปี หรือเพียงพอสำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของจังหวัดเล็กๆ 4-5 จังหวัด ดังนั้น ขยะอินทรีย์จึงเรียกได้ว่าเป็นขุมพลังงานข้างบ้านที่ไม่อาจมองข้ามเลยทีเดียว
นอกจากขยะจะถือเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่ช่วยลดโลกร้อน โดยใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิล ซึ่งส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างมาก... ขยะยังเป็นพลังงานที่ช่วยทำให้สังคมสะอาดจากการกำจัดขยะและช่วยให้เกิดโลกสีเขียว จากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์
ไส้เดือนดิน...เครื่องจักรชีวะ ย่อยขยะเหม็นเป็น "ขยะหอม"

"โชคชัยสเต็คเฮาส์" ยิ่งเนืองแน่นไปด้วยลูกค้า ปริมาณเศษอาหารก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ปริมาณขยะอินทรีย์สูง สุดสูงกว่า 200 กก.ต่อวัน แม้จะเป็นตัวเลข ที่ดูเยอะ แต่ก็เหมือนจะไม่เพียงพอสำหรับการเป็นอาหารของไส้เดือนดินกว่า 80 กก. (1 กก. มีประมาณ 1-1.2 พันตัว) เครื่องจักรย่อยสลายขยะอินทรีย์ของที่นี่ ซึ่งช่วยให้ฟาร์มโชคชัยสามารถประหยัดค่ากำจัดขยะไปได้ไม่น้อย
ทั้งนี้ การใช้ไส้เดือนดินกำจัดขยะนับเป็นกระบวนการกำจัดขยะที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และยังเป็นการย่อยสลายทางชีวภาพที่เร็วและดีที่สุดในโลก
ว่ากันว่า มีการนำไส้เดือนดินมาใช้ในการกำจัดขยะอย่างเป็นทางการครั้งแรกในการจัดกีฬาโอลิมปิกที่ออสเตรเลีย เมื่อปี 2543 โดยใช้ไส้เดือนดินจำนวน 4 แสนตัว ในการกำจัดเศษอาหารมากถึง 75 กก.ต่อวัน
คุณูปการของไส้เดือนดินในการกำจัดขยะอินทรีย์มีอยู่มากมาย อาทิ เครื่องจักรชีวะตัวยาวนี้มีราคาไม่แพงแต่สามารถทำงานตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพัก และไม่มีกระบวนการใช้พลังงานเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งยิ่งนานวันไส้เดือนดินก็เพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการกำจัดขยะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับการฝังกลบหรือเตาเผาที่นับวันประสิทธิภาพก็มีแต่จะลดลงเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ไส้เดือนยังช่วยพลิกกลับดินทำให้แร่ธาตุในดินคลุกเคล้า การไชชอนของไส้เดือนยังช่วยทำลายชั้นดินทำให้ดินร่วนซุย และเมื่อไส้เดือนกินเศษอินทรียสารเข้าไปจะย่อยและขับถ่ายออกมากลายเป็นปุ๋ยที่มีคุณภาพดี ช่วยให้ดินมีความสมบูรณ์กว่า ดินทั่วไป 5-10 เท่า
ทั้งนี้ ผลพลอยได้จากการย่อยสลายขยะของไส้เดือน ทั้ง "มูลไส้เดือน" ซึ่งเมื่อนำไปตากแห้งก็กลายเป็นปุ๋ยชีวภาพชั้นดี ตกราคา กก.ละเกือบร้อยบาท และ "น้ำหมักมูลไส้เดือน" ที่วิเศษนัก ทั้งรดต้นไม้ก็ให้ดอกผลงอกงาม ดับกลิ่นเหม็นเน่ากองขยะ หรือกลิ่นฉุนในห้องน้ำก็ได้ผล และบำบัดน้ำเสียตามท่อระบายน้ำก็ยังได้ สนนราคาขวด 750 CC ราคา 40 บาท ขณะที่ตัวไส้เดือนก็ขยายพันธุ์ง่ายแบ่งขายอาจได้ราคาดีถึง 400 บาทต่อ กก.
สำหรับฟาร์มโชคชัย ผลผลิตจากไส้เดือนดินเหล่านี้เกือบทั้งหมดถูกนำกลับมาใช้ปลูกต้นไม้จนเขียวขจีและออกดอกผล สวยงามไปทั้งฟาร์ม ซึ่งก็สามารถประหยัดค่าปุ๋ยได้มากถึงเดือนละหลายหมื่นบาท
ฟาร์มโชคชัยจะเปิดฟาร์มไส้เดือนดินเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ดูงานอีกจุด เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้นำกลับไปประยุกต์ใช้ที่บ้าน ส่วนปุ๋ยมูลไส้เดือนและน้ำหมักมูลไส้เดือนก็จะกลายเป็นอีกผลิตภัณฑ์ของฟาร์มที่นักท่องเที่ยวจะได้ซื้อหากลับบ้านได้
ไม่ว่าจะเลือกใช้ "เครื่องจักรมีชีวิต" ใดในการย่อยสลายขยะอินทรีย์ สิ่งสำคัญและเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การคัดแยกขยะอินทรีย์กับขยะแห้งออกจากกัน และผลพลอยได้ทันทีจากการแยกขยะ นั่นก็คือการลดปริมาณขยะมูลฝอยที่จะถูกนำไป ฝังกลบ ก็จะช่วยให้บ่อฝังกลบเต็มช้าลง
ที่สำคัญ ลองคิดดูว่าหากคนไทยทุกคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิธีคิดในการจัดการกับขยะอินทรีย์ ซึ่งมีสัดส่วนกว่าครึ่งของขยะเกือบ 15 ล้านตันต่อปีประเทศชาติจะประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะได้มากเพียงใด นี่ยังไม่นับว่าเมืองไทยจะน่าอยู่เพิ่มขึ้นขนาดไหน... หากปริมาณขยะลดลงแต่กลับมีพื้นที่สีเขียวจากปุ๋ยหมัก และปุ๋ยชีวภาพเพิ่มขึ้นและใช้พลังงานฟอสซิลลดลง แต่ใช้พลังงานขยะซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาดกันมากขึ้น