วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

Effective Microorganisms (EM)


อีเอ็ม (EM) คืออะไร        EM ย่อมาจาก Effective Microorganisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่ง ศ.ดร.เทรูโอะ ฮิงะ นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาพืชสวน มหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ได้ศึกษาแนวคิดเรื่อง " ดินมีชีวิต" ของท่านโมกิจิ โอกะดะ (พ.ศ.2425-2498) บิดาเกษตรธรรมชาติของโลกจากนั้น ดร.ฮิงะ เริ่มค้นคว้าทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ 2510 และค้นพบ EM เมื่อ พ.ศ. 2526 ท่านอุทิศทุ่มเททำการวิจัยผลว่ากลุ่มจุลินทรีย์นี้ใช้ได้ผลจริง หลังจากนั้นศาสนาจารย์วาคุกามิ ได้นำมาเผยแพร่ในประเทศไทย โดยท่านเป็นประธานมูลนิธิบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยกิจกรรมทางศาสนา หรือ คิวเซ (คิวเซ แปลว่า ช่วยเหลือโลก) ปัจจุบัน ตั้งอยู่ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี


จากการค้นคว้าพบความจริงเกี่ยวกับจุลินทรีย์ว่ามี 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มสร้างสรรค์ เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพ มีประมาณ 10 %
2. กลุ่มทำลาย เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่เป็นโทษ ทำให้เกิดโรค มีประมาณ 10 %
3. กลุ่มเป็นกลาง มีประมาณ 80 % จุลินทรีย์กลุ่มนี้หากกลุ่มใด มีจำนวนมากกว่ากลุ่มนี้จะสนับสนุนหรือร่วมด้วย


ดังนั้น การเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพลงในดิน ก็เพื่อให้กลุ่มสร้างสรรค์มีจำนวนมากกว่า ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้กลับมีพลังขึ้นมาอีกหลังจากที่ถูกทำลายด้วยสารเคมีจนดินตายไป


จุลินทรีย์มี 2 ประเภท
1. ประเภทต้องการอากาศ (Aerobic Bacteria)
2. ประเภทไม่ต้องการอากาศ (Anaerobic Bacteria)


จุลินทรีย์ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และสามารถอยู่ร่วมกันได้ ... จากการค้นคว้าดังกล่าว ได้มีการนำเอาจุลินทรีย์ที่ได้รับการคัดและเลือกสรรอย่างดีจากธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม มารวมกัน 5 กลุ่ม (Families) 10 จีนัส (Genues) 80 ชนิด (Spicies) ได้แก่


กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกเชื้อราที่มีเส้นใย (Filamentous fungi) ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการย่อยสลาย สามารถทำงานได้ดีในสภาพที่มีออกซิเจน มีคุณสมบัติต้านทานความร้อนได้ดี ปกติใช้เป็นหัวเชื้อผลิตเหล้า ผลิตปุ๋ยหมัก ฯลฯ


กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกสังเคราะห์แสง (Photosynthetic microorganisms) ทำหน้าที่สังเคราะห์สารอินทรีย์ให้แก่ดิน เช่น ไนโตรเจน (N2) กรดอะมิโน (Amino acids) น้ำตาล (Sugar) วิตามิน (Vitamins) ออร์โมน (Hormones) และอื่นๆ เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ดิน


กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก (Zynogumic or Fermented microorganisms) ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้ดินต้านทานโรค (Diseases resistant) ฯลฯ เข้าสู่วงจรการย่อยสลายได้ดี ช่วยลดการ พังทลายของดิน ป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืชบางชนิด ของพืชและสัตว์ สามารถบำบัดมลพิษในน้ำเสียที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษต่างๆ ได้


กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกตรึงไนโตรเจน (Nitrogen fixing microorganisms) มีทั้งพวกที่เป็นสาหร่าย (Algae) และพวกแบคทีเรีย (Bacteria) ทำหน้าที่ตรึงก๊าซไนโตรเจนจากอากาศเพื่อให้ดินผลิตสารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต เช่น โปรตีน (Protein) กรดอินทรีย์ (Organic acids) กรดไขมัน (Fatty acids) แป้ง (Starch or Carbohydrates) ฮอร์โมน(Hormones) วิตามิน (Vitamins) ฯลฯ


กลุ่มที่ 5 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกสร้างกรดแลคติก (Lactic acids) มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อรา และแบคทีเรียที่เป็นโทษ ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศหายใจ ทำหน้าที่เปลี่ยนสภาพดินเน่าเปื่อย หรือดินก่อโรคให้เป็นดินที่ต้านทานโรค ช่วยลดจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคพืชที่มีจำนวนนับแสน หรือให้หมดไป นอกจากนี้ยังช่วยย่อยสลายเปลือกเมล็ดพันธุ์พืช ช่วยให้เมล็ดงอกได้ดีและแข็งแรงกว่าปกติอีกด้วย


ลักษณะทั่วไปของ EM
EM เป็นจุลินทรีย์ กลุ่มสร้างสรรค์ เป็นกลุ่มที่มีประโยชน์ หรือ เรียกว่ากลุ่มธรรมะ ดังนั้น เวลาจะใช้ EM ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอว่า EM เป็น สิ่งมีชีวิต EM มีลักษณะดังนี้
- ต้องการที่อยู่ ที่เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป หรือเย็นเกินไป อยู่ในอุณหภูมิปกติ
- ต้องการอาหารจากธรรมชาติ เช่น น้ำตาล รำข้าว โปรตีน และสารประกอบอื่นๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
- เป็นจุลินทรีย์จากธรรมชาติ ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมีและ ยาฆ่าเชื้อต่างๆ ได้
- เป็นตัวเอื้อประโยชน์แก่พืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
- EM จะทำงานในที่มืดได้ดี ดังนั้นควรใช้ช่วงเย็นของวัน
- เป็นตัวทำลายความสกปรกทั้งหลาย


การดูแลเก็บรักษา


- หัวเชื้อ EM สามารถเก็บได้นานประมาณ 1 ปี โดยปิดฝา ให้สนิท
- อย่าทิ้ง EM ไว้กลางแดด และ อย่าเก็บไว้ในตู้เย็น เก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิปกติ
- ทุกครั้งที่แบ่งไปใช้ต้องรีบปิดฝาให้สนิท เพื่อไม่ให้เชื้อโรค หรือจุลินทรีย์ในอากาศที่เป็นโทษ เข้าไปปะปน
  • ข้อสังเกตพิเศษ
  • หาก EM เปลี่ยนเป็นสีดำ มีกลิ่นเหม็นเน่า ถือว่า EM ตาย ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก ให้นำ EM ที่เสียผสมน้ำรดกำจัดหญ้าและวัชชพืชที่ไม่ต้องการได้
  • กรณีเก็บไว้นานๆ จะมีฝ้าขาวเหนือผิวน้ำ แสดงว่า EM พักตัว เมื่อเขย่าภาชนะ ฝ้าสีขาวจะสลายตัว กลับไปอยู่ในน้ำเหมือนเดิมนำไปใช้ได้
  • เมื่อนำไปขยายเชื้อในน้ำและกากน้ำตาล จะมีกลิ่นหอมและ เป็นฟองขาวๆ ภายใน 2-3 วัน ถ้าไม่มีฟอง น้ำนิ่งสนิทแสดงว่าการหมักขยายเชื้อยังไม่ได้ผล

  • - ทำไมต้องใช้ EM ? - 
                อาณาจักรพืช ต้องอาศัยจุลินทรีย์ในการย่อยซากพืช-ซากสัตว์ให้กลายเป็นปุ๋ย
                อาณาจักรสัตว์ ต้องกินพืชหรือสัตว์ หรือทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร ในกระบวนการย่อยอาหารก็เป็นจุลินทรีย์
                อาณาจักรจุลินทรีย์ เป็นผู้ย่อยสลายซากพืช-ซากสัตว์เป็นอาหารและขับถ่ายออกไปเป็นสารอาหารแก่พืชและสัตว์
                การเกษตรเคมี เป็นการตัดวงจรธรรมชาติ ทำให้พืช สัตว์ และจุลินทรีย์มีปัญหา
                ในสภาวะธรรมชาติ กระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์อันมีซากพืช-ซากสัตว์ให้กลายเป็นสารอาหารแก่พืชนั้น เป็นหน้าที่ของจุลินทรีย์ แต่ปัจจุบัน มีการทำลายป่า การเกษตรก็ใช้วิธีเผา ไถ ตากแดด พ่นสารพิษสารเคมี อันเป็นการทำลายจุลินทรีย์โดยตรง

                ในสภาวะเช่นนี้ การจะงดเกษตรเคมี หันกลับมาใช้เกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรธรรมชาติ ที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์นั้นหามีประโยชน์ใดไม่ และอาจจะมีผลเสียด้วยซ้ำ เพราะในดินธรรมชาติขาดผู้ย่อยสลายคือจุลินทรีย์
                การค้นพบ EM จึงเป็นหนทางที่จะนำไปสู่เกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรธรรมชาติได้ โดยการเติมผู้ย่อยสลาย หรือจุลินทรีย์ลงไปในธรรมชาติความเป็นจริงจุลินทรีย์ตามธรรมชาติเกิดเองได้ แต่ต้องงดการใช้เคมี ไม่มีการเผา หรือไถตากแดดต่อเนื่องเป็นเวลา 5-10 ปี การทำเกษตรอินทรีย์จึงจะได้ผล แต่ปัญหาคือรอไม่ได้ EM จะช่วยทุ่นเวลา ณ จุดนี้ให้สามารถทำเกษตรธรรมชาติหรือเกษตรอินทรีย์ได้ทันทีจุดเด่นสำคัญของ EM คือ ใช้ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นในด้าน
    - การปลูกพืช         - การปศุสัตว์
    - การประมง           - การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
                         ฯลฯ
                กล่าวคือ เมื่อมี EM ก็สามารถทำได้ทุกเรื่องแบบผสมผสาน ซึ่งเคมีทำมิได้ การทำเกษตรตามแนวพระราชดำริ จึงมีหนทางที่จะดำเนินการได้เป็นอย่างดี ทั้งเกษตรผสมผสาน แบบเศรษฐกิจพอเพียง หรือเกษตรทฤษฎีใหม่หากมีการใช้ EM กันอย่างกว้างขวางแล้ว จะสามารถแก้ปัญหาอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นทุกขณะได้ กระบวนการทำงานของ EM จะเกิดออกซิเจน (O2) เนื่องจาก EM เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ไม่ต้องการอากาศ (Anaerobic) เป็นส่วนใหญ่ อันมีผลนำไปสู่การเพิ่มโอโซนในชั้นบรรยากาศ และลดการเกิดภาวะเรือนกระจก
       เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ดีในการใช้ EM  ขออธิบายความแตกต่างระหว่าง EM หัวเชื้อกับ EMขยาย   ดังนี้
                     EM หัวเชื้อ  คือ กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ที่ผลิตจากโรงงานของบริษัท อี เอ็ม คิวเซ จำกัด เท่านั้น และยังไม่ได้แปรสภาพ
                     EM ขยาย  คือ การกระตุ้นให้จุลินทรีย์อยู่ในสภาพพร้อมที่จะทำงาน โดยการให้อาหาร
                     ผู้ที่ได้เรียนรู้เรื่อง EM ขยาย แรกๆ ผสมอัตราส่วน 1:1:100  หมักไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง - 3 วัน ขยายต่อได้ไม่เกิน 5 ครั้ง
                     ต่อมาก็มีการปรับเปลี่ยนเป็น 1:1:50 ขยายต่อเนื่องได้ 3 ครั้ง
                     ปัจจุบันตั้งแต่ ปี 2542 เป็นต้นมา ใช้อัตราส่วนการขยาย EM 1:1:20  ไม่มีการขยายต่อ
                     ขอเรียนให้ผู้ใช้  EM ว่า เทคนิคการใช้  EM จะเปลี่ยนตามผลการวิจัยของ EMRO (EM  Research  Organization) ผลการวิจัยบ่งบอกว่า อัตราส่วน 1:1:20 ดีที่สุด หรือมีประสิทธิภาพสูงสุด หากขยายต่ออีกจะทำให้จุลินทรีย์บางกลุ่มหายไป โดยเฉพาะกลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ที่มีความสำคัญที่สุดด้วย
                     เทคโนโลยี EM จำเป็นต้องปรับเทคนิควิธีที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด  การขยาย EM จึงเป็นดังปัจจุบันนี้ คือ ใช้ส่วนผสม  EM : กากน้ำตาล : น้ำ    ในอัตราส่วน 1:1:20
                      ระยะการหมัก 7 วัน  
                     หลังการหมัก 7 วัน  มวลจุลินทรีย์จะมีความหนาแน่นมากที่สุดอยู่เป็นเวลา 7 วัน ต่อจากนั้นก็จะมีจำนวนลดลง จึงมีคำแนะนำให้หมัก 7 วัน และใช้ให้หมดภายใน 7 วัน  หลังการหมัก
                     ท่านที่ไปซื้อ EM ขยาย หรือไปรับ EM ขยายแจก รู้หรือไม่ว่า เขาขยายมากี่วันแล้ว และจะเอาไปใช้กับอะไรให้หมดหลังการหมักขยายแล้ว 7 วัน  ให้ทันเวลา 7 วัน ผู้ใช้ EM ต้องระลึกเสมอว่า
                     -  EM  มีชีวิต  EM จะผลิตฮอร์โมนเจริญเติบโต  พืชจะเจริญงอกงาม
                     -  EM  ตาย  จะมีกลิ่นเหม็นเน่า จะเป็นสารกำจัดพืชอย่างดี เมื่อนำไปใช้จะทำให้พืชตาย และแจกก็ควรบอกกับผู้รับด้วยว่า แจก EM ขยาย เพราะคำว่าแจก EM  กับ  EM ขยาย  ความหมายนั้นต่างกัน
                     จึงขอสรุปว่า : อย่าเห็นแก่ของแจก อย่าดีใจกับของถูก ควรระลึกเสมอว่า  ต้องได้ผลดี  ของดีราคาถูกไม่มี ของฟรีวิเศษไม่มี  ขยาย EM และใช้ด้วยตนเองนี่แหละดีแน่นอนที่สุด
    คำเตือน  :  1. อย่านำ EM ขยาย หรือจุลินทรีย์ที่อ้างว่าเป็น EM  หรือ EM ที่ลอกเลียนแบบ ไปให้สัตว์กิน เพราะอาจเกิดผลเสีย และเป็นอันตรายต่อสัตว์
                              2.  ผลจากการใช้  EM  ขยาย ที่วางจำหน่ายหรือได้รับแจกจากหน่วยงานต่างๆ  บริษัท อี เอ็ม  คิวเซ  จำกัด  จะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น

       


ที่มา : ชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ที่มา : EM-Kyusei

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น